ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/226383

วันพุธ ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
แผน “จ้างชาวนาเลิกปลูกข้าว” กำลังจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ตามคำบอกกล่าวของพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ นั่นย่อมหมายถึงสัปดาห์หน้านี้แล้ว นับเป็นประเด็นร้อนทึ่อยู่ในความสนใจของพี่น้องเกษตรกรชาวนาและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างมาก
แผน “จ้างชาวนาเลิกปลูกข้าว” เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการปรับโครงสร้างการปลูกข้าวหรือเรียกสั้นๆว่า “แผนข้าวครบวงจร” อีกทั้งการลดปริมาณผลผลิตข้าวก็อยู่ในยุทธศาสตร์ข้าวไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2558-2562) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หันไปเน้นคุณภาพข้าวให้สามารถสร้างราคาและรายได้แก่ชาวนาไทยมากขึ้น
โฆษกกระทรวงเกษตรฯ-สุรพลจารุพงษ์ให้ข่าวว่า รมว.เกษตรฯสั่งให้กรมส่งเสริมการเกษตร, กรมการข้าว เร่งหามาตรการจูงใจใหม่ๆ ให้ชาวนา 5.4 ล้านครัวเรือน เข้าร่วมโครงการแผนข้าวครบวงจร คาดจะใช้งบประมาณเบื้องต้น 10,000 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายลดผลผลิตข้าวจากปัจจุบันปีละ 33 ล้านตัน มาอยู่ที่ 27 ล้านตัน เพื่อลดผลผลิตส่วนเกินล้นตลาดออกไป จะได้ไม่เป็นปัญหาด้านราคา อีกทั้งการทำนาก็จะสอดคล้องกับปริมาณน้ำและสภาพดิน โดยจะต้องลดพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศจาก 68.98 ล้านไร่ เหลือ 54.80 ล้านไร่ ทั้งลดปลูกข้าวนาปรังรอบแรกจาก 11.81 ล้านไร่เหลือ 7.32 ล้านไร่ และงดปลูกข้าวนาปรังรอบสามกับเลิกปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม ให้หันไปปลูกพืชอื่นหรือเลี้ยงสัตว์ 5 แสนไร่
ทั้งนี้คาดว่า จะจ่ายเงินสดจ้างเลิกทำนาไร่ละ 3,000 บาทไม่เกิน 15 ไร่ต่อครัวเรือน เท่ากับชดเชย ครัวเรือน 45,000 บาท ภายใต้กติกาว่า พื้นที่ไม่เหมาะสม จะไม่กลับมาปลูกข้าวอีก โดยชดเชยในช่วงที่ไม่มีรายได้ ให้ปรับเปลี่ยนไปส่งเสริมทำเกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่ ปลูกพืชบำรุงดิน ปลูกปอเทือง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยง ฯลฯ ขณะที่รัฐจะช่วยด้านพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และมีเสริมมาตรการจ้างงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน นำเทคโนโลยี องค์ความรู้ใหม่ๆ เข้าไปช่วยและหาตลาดรองรับ ซึ่งคาดว่าจะเสนอครม.ได้ปลายเดือนกรกฎาคม เพื่อให้ทันฤดูกาลเพาะปลูกปีนี้
อันที่จริงแนวความคิดแผน “จ้างชาวนาเลิกปลูกข้าว” นี้ ผลักดันกันมาตั้งแต่ช่วงรมว.เกษตรฯคนก่อน คือ นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ซึ่งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด โดยเฉพาะจากกลุ่มคนที่อยู่ขั้วตรงข้ามหรือที่ไม่ชอบรัฐบาล คสช.นำไปขยายผล สร้างความเข้าใจผิดหรือสร้างกระแสดิสเครดิตในทำนองว่า รัฐบาลไม่สนับสนุนอาชีพชาวนา กระดูกสันหลังประเทศบ้าง โจมตีว่า ไม่ให้ทำนาแล้วจะให้ไปเป็นลูกจ้างแรงงานหรืออย่างไรบ้าง…
ทั้งๆที่ก็รู้กันอยู่เต็มอกว่า ผลผลิตข้าวแต่ละปีที่มากล้นเกินกว่าการบริโภคภายในประเทศรวมกับการส่งออกปีละร่วม 10 ล้านตันข้าวสารแล้วก็ตาม ก็ยังมีข้าวเหลืออีกมาก เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ราคาข้าวตกต่ำ และถ้าจะใช้นโยบายประชานิยมเข้าไป“อุ้ม”แทรกแซงราคาอย่าง โครงการ“จำนำข้าว”ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ทั้งสร้างภาระต่องบประมาณรัฐมหาศาล แล้วยังคอร์รัปชั่นโกงกินกันอย่างมโหฬาร
แผนที่จะลดกำลังการผลิตข้าว แล้วเน้นเพิ่มคุณภาพข้าวที่ผลิตได้ โดยหลักการจึงน่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องอย่างยั่งยืนในระยะยาว
แต่ในทางปฏิบัติก็มีข้อท้วงติงกันว่า การปรับเปลี่ยนวิถีดั่งเดิมของเกษตรกรไม่ใช่เรื่องง่าย ที่อยู่ๆจะเอาเงินมาจ้างให้ชาวนาเลิกทำนาไปเฉยๆ โดยแกนนำชาวนาบางคนยอมรับว่า ในทางปฏิบัติอาจเป็นเรื่องยากที่จะให้เลิกทำนาหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นแทน เนื่องจากชาวนาส่วนใหญ่ยังไม่มีองค์ความรู้ในพืชเศรษฐกิจอื่นมากนัก อีกทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์การเกษตรที่มีอยู่ ก็ใช้แตกต่างกันตามการปลูกพืช ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการส่งเสริมเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็ต้องใช้เวลาหลายปี ไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนในทันทีได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้นับว่าเปลี่ยนไปไม่น้อย หลังจากชาวนาไทยต้องเผชิญกับวิกฤติภัยแล้งต่อเนื่องกันมา 2-3 ปีโดยเฉพาะปีล่าสุดที่รุนแรงสาหัส จนต้องงดเว้นการทำนาไปจำนวนมาก และต้องดิ้นรนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อความอยู่รอด
ดังนั้นแผน “จ้างชาวนาเลิกปลูกข้าว” ที่กำลังจะเริ่มในปีนี้ แม้การเข้าร่วมโครงการจะขึ้นอยู่กับความสมัครใจของชาวนา ไม่มีการบังคับ แต่โฆษกกระทรวงเกษตรฯก็เชื่อว่า จะมีเกษตรกรเข้าร่วมจำนวนมาก โดยเห็นได้จากช่วงภัยแล้งที่ผ่านมา รัฐได้เข้าไปช่วยส่งเสริมให้เปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่น ทำให้มีรายได้ดีกว่าการทำนา จนไม่กลับไปทำนาอีก
ก็สรุปได้ว่า ตามแผนคงไม่ใช่แค่จ่ายเงิน “จ้างให้เลิกปลูกข้าวเฉยๆ”อย่างที่คนจ้องหาเรื่อง ก็หยิบเอาไปโจมตีแบบไม่ลืมหูลืมตา …แต่อย่างไรก็ตามโครงการนี้ก็ยังต้องอาศัยแผนงานที่ละเอียด รอบคอบ และการทำงานที่มีประสิทธิภาพ กับที่สำคัญคือ อย่าปล่อยให้มีการรั่วไหลก็แล้วกัน
สาโรช บุญแสง