ศาลมะกันสั่งปล่อยตัวมือยิงปธน.เรแกน จากรพ.จิตเวช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 28 ก.ค. 2559 02:35

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/674898

 

จอห์น ดับเบิลยู. ฮิงคลีย์ จูเนียร์

ศาลสหรัฐฯ สั่งให้ปล่อยตัว นายจอห์น ฮิงคลีย์ จูเนียร์ ผู้พยายามลอบสังหารประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน เมื่อ 35 ปีก่อน ออกจากโรงพยาบาลจิตเวชแล้ว โดยมีข้อจำกัดบางประการก่อนที่เขาจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลรัฐบาลกลางแห่งสหรัฐอเมริกา มีคำตัดสินเมื่อวันพุธที่ 27 ก.ค. อนุญาตให้นายปล่อยตัว นายจอห์น ดับเบิลยู. ฮิงคลีย์ จูเนียร์ ผู้พยายามลอบสังหารประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน เมื่อปี ค.ศ. 1981 ออกจากโรงพยาบาลจิตเวชของรัฐที่เขารับการบำบัดมานานกว่า 35 ปีได้แล้ว


โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดี คนที่ 40 ของสหรัฐฯ

ผู้พิพากษา พอล แอล. ฟรีดแมน แห่งศาลแขวงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า ฮิงคลีย์ ซึ่งขณะนี้อายุ 61 ปี ไม่มีท่าทีเป็นอันตรายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นอีกต่อไป และได้รับการปล่อยตัวไปอยู่กับมารดาของเขาที่ เมืองวิลเลียมส์เบิร์ก ในรัฐเวอร์จิเนีย แบบเต็มเวลา โดยจะมีผลอย่างเร็วที่สุดภายในวันที่ 5 ส.ค. ภายใต้เงื่อนไขการติดตามเฝ้าระวังและการบำบัดรักษาชั่วคราวหลายประการ


จอห์น ดับเบิลยู. ฮิงคลีย์ จูเนียร์ เมื่อ 35 ปีก่อน

ข้อจำกัดดังกล่าวรวมไปถึง จำกัดไม่ให้นายฮิงคลีย์ออกนอกรัศมี 50 ไมล์รอบเมืองวิลเลียมส์เบิร์ก, กำหนดให้เขาต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือและยานพาหนะที่เขาใช้ และห้ามเขาลบข้อมูลประวัติการค้นหาในคอมพิวเตอร์ของเขา ห้ามอัพโหลดเนื้อหาใดๆ ลงในอินเทอร์เน็ต หรือเข้าสู่เครือข่ายสังคมออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นเอกฉันท์จากทีมบำบัด แต่ไม่ได้สั่งให้เขาใส่อุปกรณ์ติดตามตัวที่ข้อเท้า

และหากนายฮิงคลีย์ปฏิบัติตามข้อจำกัดทั้งหมดได้ พวกเขาจะเริ่มยุติข้อจำกัดต่างๆ หลังจาก 12-18 เดือน ปลดปล่อยเขาออกจากการควบคุมของศาลเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เขาถูกควบคุมตัวในโรงพยาบาล เซนต์เอลิซาเบธ หลังเกิดเหตุพยายามลอบสังหาร แต่หากเขาละเมิดเงื่อนไขการปล่อยตัว เขาจะถูกส่งกลับไปยังโรงพยาบาลเซนต์เอลิซาเบธ


ประธานาธิบดีเรแกนโบกมือให้ฝูงชนเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่เขาและเจ้าหน้าที่อีก 3 คนจะถูกนายฮิงคลีย์ยิง

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ปี ค.ศ. 1981 นายฮิงคลีย์ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 25 ปี ก่อเหตุช็อกโลก เมื่อเขาใช้อาวุธปืนลูกโม่ขนาดลำกล้อง .22 ยิงโรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีคนที่ 40 ของสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่กี่สัปดาห์ ที่หน้าโรงแรมวอชิงตัน ฮิลตัน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นอกจากนี้ยังมีผู้ถูกยิงอีก 3 คน คือ เจมส์ เบรดี เลขาธิการฝ่ายสื่อ, เจ้าหน้าที่ตำรวจลับ ทิม แมคคาร์ธี และเจ้าหน้าที่ตำรวจดี.ซี. โธมัส เดลาฮันตี

นายเรแกนถูกยิงกระสุนทะลุปอด แต่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและรอดชีวิต ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่สุดคือ นายเบรดี ผู้ถูกยิงที่ศีรษะจนสมองได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จนต้องเป็นอัมพาตตลอดชีวิต จนกระทั่งเขาจากโลกนี้ไปเมื่อปี 2014 ในขณะที่กำลังต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้รัฐออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืน


โจดี ฟอสเตอร์ ร่วมงานโปรโมตภาพยนตร์ที่อิตาลีเมื่อปี 2005

ส่วนมูลเหตุจูงใจของนายฮิงคลีย์ มาจากความลุ่มหลงในตัวนักแสดงฮอลลีวูด โจดี ฟอสเตอร์ และภาพยนตร์ที่เธอแสดงเรื่อง ‘Taxi Driver’ (ชื่อไทย แท็กซี่มหากาฬ) ซึ่งออกฉายในปี 1976 และในเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับการวางแผนลอบสังหารผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นายฮิงคลีย์ถึงกับเคยแอบสะกดรอยตามโจดี ฟอสเตอร์ เป็นระยะเวลาสั้นๆ ในสมัยที่เธอเรียนที่มหาวิทยาลัยเยลด้วย ก่อนที่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน และเริ่มเขียนกวีและข้อความส่งให้ฟอสเตอร์ผ่านช่องใต้ประตูและเรียกชื่อเธอซ้ำไปซ้ำมาด้วย

อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการเข้าหาฟอสเตอร์ของนายฮิงคลีย์ล้มเหลว เขาจึงตัดสินใจที่จะลอบสังหารประธานาธิบดี โดยคิดว่าจะทำให้สถานะของเขาเท่าเทียมกับฟอสเตอร์ โดยเขาติดตามประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ จากรัฐหนึ่งไปยังอีกรัฐหนึ่ง ก่อนถูกจับกุมตัวที่เมืองแนชวิล รัฐเทนเนสซี ในข้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืน หลังจากหมดเนื้อหมดตัว เขาจึงเดินทางกลับบ้านและเข้ารับการบำบัดอาการซึมเศร้าแต่ไม่ดีขึ้น จนในที่สุดเขาก็เบนเป้าหมายไปยังประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้ง ซึ่งก่อนลงมือเขาได้เขียนจดหมายบอกแรงจูงใจถึงฟอสเตอร์ด้วย


เจมส์ เบรดี อดีตเลขาธิการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาว กล่าวปราศรัยเมื่อปี 2011

ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ใช้เวลาพิจารณาคดีของนายฮิงคลีย์นาน 8 สัปดาห์ ก่อนที่คณะลูกขุนจะตัดสินให้เขาไม่มีความผิดในข้อกล่าวหาทั้ง 13 ข้อ ด้วยเหตุผลด้านความวิกลจริต เมื่อเดือน มิ.ย. 1982 และให้เขาเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลจิตเวชโดยไม่ให้ออกไปที่อื่น จนกระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 1990 เขาก็ได้รับอนุญาตให้ไปพบสมาชิกครอบครัวได้บ้าง และขยายระยะเวลาเป็นสูงสุด 17 วันต่อเดือนในเวลาต่อมา

Leave a comment