ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/231192
วันเสาร์ ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
หนุ่มสาววัย 20 ปีคงเป็นช่วงวัยที่ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานกับการเรียนมหาวิทยาลัยและเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับ นัยธาดา นันทน์วิธู กรรมการบริหาร บริษัท ทีมเฟอร์น (ไทยแลนด์) จำกัด เมื่อ 9 ปีก่อน ในขณะที่เขามีอายุเพียง 20 ปี ต้องมารับหน้าที่หัวเรือใหญ่ในการสานต่อธุรกิจรับผลิตเฟอร์นิเจอร์ของครอบครัวที่ผู้เป็นพ่อทิ้งไว้ให้ อาจจะดูสวยหรูในสายตาของคนนอก แต่สำหรับเด็กหนุ่มเพิ่งจบการศึกษา การก้าวสู่ตำแหน่งนั้นคือ “หน้าที่และความรับผิดชอบ” ที่ยิ่งใหญ่
“คุณพ่อผม เสียชีวิตตั้งแต่ผมอายุ 12 ปี จากการทำหน้าที่แม่บ้าน ดูแลสามีและลูก ทำให้คุณแม่ต้องเข้ามาดูแลธุรกิจ ส่วนผมถูกส่งไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่ 10 ขวบ ตอนนั้นอาจยังไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรต่างๆ มากนัก พอเรียนจบปริญญาตรีสาขา Contemporary Marketing จาก Nottingham Trent University ตอนอายุ 19 ปี ก็ตั้งใจว่าจะหาประสบการณ์ด้วยการเป็นลูกจ้างสัก 4-5 ปี แล้วค่อยกลับไปช่วยงานที่บ้าน ก็ได้มีโอกาสไปทำงานที่ฝ่ายระดมทุน UNHCR องค์การสหประชาชาติ ได้เกือบปี คุณแม่ก็โทรศัพท์มาตามให้กลับบ้าน อยากให้มาดูแลเรื่องการตลาดตามที่ผมเรียนมา”
ความเป็นคนหนุ่มไฟแรง บวกกับความเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา เขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ จึงได้เข้ามาปรับปรุงและพัฒนาในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะจากการรับจ้างผลิต มาสู่การสร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งนับว่าเป็นก้าวแห่งการท้าทาย การลองผิดลองถูก
“ผมมองว่าถ้าเราอยู่อย่างเดิม เราจะไปไม่รอด เพราะการรับจ้างผลิต มันแข่งขันกันที่ราคา ถ้าเราแพงกว่าเขาเมื่อไหร่ ก็ไม่มีคนจ้างแน่นอน ในวันที่บอกกับลูกค้าเดิมๆ ว่าจะไม่ขายถูกแล้วนะ เพราะเราปรับปรุงทั้งดีไซน์และคุณภาพสินค้า กลายเป็นว่าลูกค้าหายเกือบหมด จนคุณแม่ยังบอกว่ากลับไปทำเหมือนเดิมดีกว่าไหม แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ จนได้พบกับ Mr.Graham Barrow เป็นลูกค้าเก่าแก่จากออสเตรเลีย ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ เดินทางมาชมสินค้าที่โรงงาน เขาออกปากว่าเก้าอี้ปรับนอนของเราพัฒนาไปมาก ตลาดทางยุโรปน่าจะไปได้สวย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นจากลูกค้าก็กลายมาเป็นครูสอนทำธุรกิจและเป็นหุ้นส่วน หลังจากที่ผมล้มลุกคลุกคลานในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจกว่า 4 ปี ในที่สุด เซเดอร์เร่ ZEDERE) ในภาษาอิตาลีแปลว่า เชิญนั่ง จึงได้เกิดขึ้น”
ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการเปิดใจเรียนรู้ จากธุรกิจที่ต้องแข่งขันกันด้วยราคา ในเวลาเพียง 4 ปี นัยธาดา ส่งออกแบรนด์ เซเดอร์เร่ (ZEDERE) ไปจำหน่ายใน 23 ประเทศ และมี ZEDERE Gallery จำนวน 826 แห่งทั่วโลก มูลค่าส่งออกหลายร้อยบาทต่อปี ซึ่งเขาบอกเคล็ดลับความสำเร็จว่าเกิดขึ้นจากการยึดมั่นใน 5 ค.
“ค.แรก คือความรัก รักในธุรกิจที่ทำ เมื่อมีความรักเราก็จะสนุกที่ได้ทำงาน ค.ที่สองคือความแตกต่าง ถ้าวันนั้นผมไม่คิดว่าจะทำให้มีความแตกต่างจากคู่แข่ง เซเดอร์เร่ก็คงไม่มีวันนี้ ค.ที่สามคือ ความล้มเหลว ผมรู้ว่าทุกคนไม่อยากล้มเหลว แต่ในชีวิตคนเราไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ทุกคนต้องเคยล้มเหลวทั้งนั้น แต่ผมจะคิดเสมอว่า ถ้าเราไม่เคยล้มเหลวเราจะไม่มีประสบการณ์ ไม่เกิดการเรียนรู้และนำไปสู่การพัฒนาตัวเอง ค.ที่สี่ คิดใหญ่และคิดบวก ถ้าเราไม่มีเป้าหมายที่ใหญ่ เราก็จะทำทุกอย่างเหมือนเดิมๆ เมื่อคิดใหญ่แล้วเราต้องคิดบวกว่าจะทำอย่างไรที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย เศรษฐกิจไม่ดี 96% ก็จริง แต่มันยังมีดี
อีกตั้ง 4% เราจะอยู่ในส่วนที่ดีหรือไม่ดี
ค.สุดท้ายสำคัญมาก คือ ครู ถ้าผมไม่มีครูที่ดีให้ความรัก ความเมตตา ในการสอนงานด้านธุรกิจ ผมคงมาไม่ถึงวันนี้ ซึ่งครูของผมมี 4 คน คนแรกคือคุณพ่อ ถึงแม้ท่านจะเสียไปแล้ว แต่สิ่งที่ท่านสอนผมไว้คือ การทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ มีธรรมาภิบาลต่อทั้งลูกค้า คู่ค้า รวมถึงลูกจ้าง ผมจำได้ในงานศพคุณพ่อ ผมอายุแค่ 12 ปี แต่มีคนเดินเข้ามาพูดกับผมว่า พ่อผมเป็นคนดีนะ เป็นนักธุรกิจที่ดี จึงทำให้ผมยึดถือมาจนถึงทุกวันนี้ อีกสามคนเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ อายุนี่เป็นพ่อผมได้ทุกคน ได้แก่ Graham Barrow ชาวออสเตรเลีย ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าแก่ด้วย เขาคอยสอนให้คำแนะนำด้านการบริหารธุรกิจ Lars-Ove Tokle ชาวนอร์เวย์ เขาสอนเรื่องการออกแบบ และคนสุดท้าย Daniel See Foong ชาวสิงคโปร์ คนนี้เจอกันตอนผมนำ เซเดอร์เร่ ไปออกงานแฟร์ครั้งแรกที่สิงคโปร์ เขาสอนเรื่องการตลาด วันนั้นเขาสอนผมว่าสิ่งที่ผมต้องทำเวลาออกตลาด มีสองอย่างคือ ต้องรู้จักดู และรู้จักฟัง ดูว่าลูกค้าเราเป็นอย่างไร และเสียงของลูกค้าที่พูดถึงผลิตภัณฑ์ของเราอย่างไร แล้วเอาสิ่งนั้นมาปรับปรุงพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาด”

ถึงแม้วันนี้แบรนด์ เซเดอร์เร่ จะเป็นที่ยอมรับทั้งตลาดต่างประเทศและในประเทศแล้ว แต่ นัยธาดา ก็ยังไม่หยุดยั้งที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตไปอีกขั้น
“ผมเข้ามาดูแลธุรกิจตอนอายุ 20 ปี ตอนนี้ผมอายุ 29 ผมผ่านความล้มเหลวมาไม่น้อย ถึงขั้นที่คุณแม่เคยถามว่าจะปิดกิจการดีไหมมาแล้ว มาถึงวันนี้ผมภูมิใจกับสิ่งที่ผมทำ แต่มันก็ไม่ใช่แค่นี้แน่นอน ผมอยากเห็นการยอมรับแบรนด์ไทยในตลาดโลกมากกว่านี้ อยากให้มีเซเดอร์เร่ ไลฟ์สไตล์โชว์รูม ที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเฟอร์นิเจอร์เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงการแตกไลน์ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องหนัง ซึ่งตอนนี้ผมมีโปรเจกท์ต่อยอด นำเศษหนังจากการผลิตเฟอร์นิเจอร์มาผลิตเป็นสินค้าอื่นๆ เช่น กระเป๋า รองเท้า เป็นการนำวัตถุดิบเหลือใช้นำมาสร้างคุณค่าที่จะทำให้เกิดมูลค่า และยังมีธุรกิจร้านกาแฟที่เพิ่งเริ่มต้น”
ท้ายสุด นัยธาดา ฝากข้อคิดสำหรับใครที่กำลังเริ่มต้น หรือกำลังท้อแท้ในการทำธุรกิจว่า “ผมอยากให้ทุกคนคิดบวกเข้าไว้ ปัญหาอุปสรรคเกิดได้กับทุกคน แต่ทุกอย่างมันมีทางออก อย่ายอมแพ้ เพราะผมเคยผ่านมันมาก่อน ขอให้คิดบวกไว้ก่อนแล้วเราจะมองเห็นโอกาส และบางอย่างอาจจะต้องใช้เวลา กว่าที่มันจะประสบความสำเร็จอย่างที่เราหวังไว้”
