ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/229696

วันพุธ ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ฉลุย!ไปเป็นที่เรียบร้อยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ที่ได้ผ่านการลงประชามติ “เห็นชอบ” จากประชาชนไทยส่วนใหญ่ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 61% ของผู้ที่มาใช้สิทธิทั้งหมดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา จากนี้ไปจะเป็นกระบวนการในการออกกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญ เพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งตามโรดแมปที่กำหนดไว้ราวปลายปี 2560 หรืออย่างช้าต้นปีหน้า 2561 ต่อไป
เรื่องนี้ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ เพราะเป็นกฎหมายสูงสุดที่จะใช้ในการปกครอง ใช้ดูแลสารทุกข์สุกดิบของประชาชนทุกชนชั้น ทุกสาขาอาชีพ รวมถึงเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างเช่นที่ระบุในมาตรา 73 ว่า“รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบ เกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ำและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทำกิน โดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด”
เนื้อหาสำคัญที่ถูกชูเป็นจุดขายของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ อยู่ที่คีย์เวิร์ดคำว่า“ปราบโกง” ซึ่งนอกจากกำหนดกลไกคัดกรองผู้เข้าสู่อำนาจอย่างเข้มข้น ตัดสิทธิเด็ดขาดต่อผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาคดีทุจริตคอร์รัปชั่นและคดีร้ายแรงอื่นๆ เช่น คดียาเสพติด ไม่ให้เข้าสู่วงจรอำนาจอีกทั้งยังกำหนดให้ต้องสร้างความโปร่งใสในการบริหารปกครองประเทศ เช่น การเปิดเผยข้อมูลทางราชการต่างๆ
ที่สำคัญอีกประการคือ การป้องกันมิให้พรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่จะเข้ามามีอำนาจในอนาคต นำเอานโยบาย“ประชานิยม”ทั้งหลายมาใช้มอมเมาประชาชน และมีผลในการโกงกิน ทำลายประเทศชาติจนย่อยยับเหมือนที่ผ่านมา โดยกำหนดในรัฐธรรมนูญให้“รัฐบาล”มีหน้าที่ต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด(มาตรา 62) และให้องค์กรอิสระ-คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินทำหน้าที่กำกับดูแลเรื่อง“วินัยการเงินการคลังของรัฐ” มีอำนาจที่จะเสนอแนะเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดิน จนถึงลงโทษทางปกครองได้ กรณีตรวจสอบพบการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐจนอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง(มาตรา 240 และ245) เป็นต้น
ก็หวังว่า ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ จะแก้ไขปัญหาการทุจริตโกงกินที่เป็นมะเร็งร้ายฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนาน ให้บรรเทาเบาบางลงไปได้ และโครงการประชานิยมประเภท“จำนำข้าวผลาญชาติ”อย่างสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำให้งบประมาณแผ่นดินเสียหายย่อยยับกว่า 5-6 แสนล้านบาทในช่วงแค่ 2 ปี แล้วยังเต็มไปด้วยการทุจริตโกงกิน ทำลายระบบการผลิตและการค้าข้าวของประเทศยับเยิน…จะไม่สามารถเกิดขึ้นซ้ำรอยได้อีกในอนาคต
ส่วนโครงการจำนำข้าวผลาญชาติที่ผ่านมาซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านการทำประชามติไปแล้ว แต่ก็ยังต้องติดตามเอาผิดและทวงคืนเงินแผ่นดินที่ได้รับความเสียหายต่อไป
ก็รายงานไว้ ณ ที่นี่สักหน่อยกับการ“เช็คบิล”คนกระทำความผิดและการให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญ ต้องชดใช้ความเสียหายเงินของแผ่นดินหลายแสนล้านบาท ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก
ในส่วนคดีที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ชินวัตร ตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าว ซึ่งเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกฎหมายป.ป.ช.นั้น ที่ผ่านมาศาลฯได้ไต่สวนพยานโจทก์ครบทุกปากแล้ว และเริ่มไต่สวนพยานจำเลยประเดิมปากแรกด้วยตัวอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เองเมื่อวันศุกร์ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่ยังมีพยานฝ่ายจำเลยอีก 41 ปาก แม้จะเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความรวดเร็วในการพิจารณาของศาลสูงคดีการเมืองนี้ ก็เป็นที่เชื่อกันว่า ภายในสิ้นปีนี้ ก็น่าจะมีคำพิพากษาออกมาได้
นอกจากโทษทางอาญาแล้ว ในส่วนการ“ชดใช้”ความเสียหายเงินของแผ่นดินนั้น ตอนนี้มีตัวเลขสรุปออกมาเบื้องต้นแล้วว่า ไม่ต่ำกว่า 286,639 ล้านบาทที่จะใช้อำนาจทางปกครองพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด พ.ศ.2539 เรียกเก็บจากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ กับอีกเกือบ 2 หมื่นล้านจะเรียกเก็บจากอดีตรมว.พาณิชย์-บุญทรงเตริยาภิรมย์และอดีตรมช.พาณิชย์ภูมิ สาระผล กับพวกที่มีทั้งนักการเมืองและอดีตข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์อีก 4 คนที่เป็นจำเลยคดีทุจริตระบายข้าว“จีทูจี”
ซึ่งรมช.คลัง-วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณไปตอบกระทู้ต่อที่สนช.สภานิติบัญญัติแห่งชาติยืนยันว่า จะเรียกค่าเสียหายจากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ภายในเดือนสิงหาคมนี้ หรืออย่างช้ากันยายน
เงินของแผ่นดินต้องทวงคืนมาให้ได้… เอาใจช่วยเต็มที่ครับ
สาโรช บุญแสง