ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/234042

วันพุธ ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
โครงการเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อมีข่าวพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่ตรวจปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล จ.ตาก เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ในการเดินหน้าสร้างเขื่อนแม่วงก์ เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรองยามเกิดวิกฤติภัยแล้งและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง
แน่นอนว่า ทันทีที่เป็นข่าวออกมา ก็“เรียกแขก” เสียงต้านจากนักอนุรักษ์ฯดังกระหึ่ม มีการออกแถลงการณ์จากหลายองค์กร หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญคือ มูลนิธิสืบนาคะเสถียรนำโดยนายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิฯ ตลอดจนเครือข่ายสิ่งแวดล้อมและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ เป็นต้น ต่างยืนยันที่จะคัดค้านอย่างถึงที่สุด
เขื่อนแม่วงก์เป็นโครงการในความรับผิดชอบกรมชลประทาน ที่จะกั้นแม่น้ำแม่วงก์บริเวณเขาชนกันหรือเขาสบกกในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ สร้างเป็นเขื่อนหินทิ้ง แกนดินเหนียวความยาว 730 เมตร กว้าง 10 เมตร สูง 57 เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำ13,000 ไร่ ปริมาณกักเก็บน้ำราว 250ล้านลูกบาศก์เมตร โดยศึกษาความเป็นไปได้มาตั้งแต่ปี 2532 แต่ช่วงแรกไม่ได้รับการเห็นชอบ กระทั่งยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติครม.10 เม.ย.2555 อนุมัติให้สร้างเป็นเงิน 13,280 ล้านบาท ให้เหตุผลว่า เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ไขน้ำท่วมบริเวณลุ่มน้ำสะแกกรัง
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ถูกต่อต้านจากนักอนุรักษ์ธรรมชาติ ด้วยเห็นว่า เป็นเขื่อนขนาดเล็ก ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนและต้องสูญเสียพื้นที่ป่าถึง 18 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นป่าสมบูรณ์ถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิด รวมทั้งเสือโคร่ง ช้าง และนกยูง
กระทั่งในขั้นตอนการอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(EHIA) ก็ถูกต่อต้านหนัก นำโดย นายศศินเฉลิมลาภ ที่ได้จัดกิจกรรม “เดินเท้า 388 กม.จากป่าสู่เมือง” ตั้งต้นที่แม่วงก์เข้ามากรุงเทพฯ รณรงค์ต่อต้านโครงการนี้ ได้รับความสนใจจากประชาชนมาก “จุดกระแสติด” กระทั่งโครงการนี้
ต้องพับไป
แต่จากการที่ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติภัยแล้งแสนสาหัสช่วง 2-3 ปีมานี้ และรัฐบาล คสช.ก็มีนโยบายเร่งแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ ทำให้เริ่มมีการเคลื่อนไหวฟื้นโครงการเขื่อนแม่วงก์ใหม่ โดยการผลักดันให้ใช้อำนาจเด็ดขาดตามมาตรา 44 สกัดไม่ให้เอ็นจีโอกลุ่มอนุรักษ์ออกมาต่อต้านได้อีก
โดยเมื่อต้นปี ก็มีกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า กลุ่มสร้างเขื่อนแม่วงก์เพื่อป่าไม้สัตว์ป่าและประชาชน นำโดยนายโสภณ พรโชคชัยนักวิชาการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เคยแสดงจุดยืนชื่นชมต่อระบอบทักษิณมาก่อน ได้ไปยื่นเรื่องต่อศูนย์ดำรงธรรม ทำเนียบรัฐบาล ขอให้นายกฯบิ๊กตู่ใช้มาตรา 44 สั่งให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ด่วน อ้างเป็นความต้องการประชาชน โดยให้สั่งห้ามมิให้เอ็นจีโอหรือกลุ่มใดมาขัดขวาง
ต่อมาปลาย ก.ค. กรมชลประทานก็ระบุระหว่างชี้แจงยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำและบริหารภัยแล้ง เรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรา 44
ผลักดันโครงการสำคัญที่กรมชลประทานศึกษาไว้แล้ว ทั้งเขื่อนแม่วงก์ และโครงการโขง-เลย-ชี-มูล โดยชี้ว่า ถ้าใช้กระบวนการปกติ ก็จะไม่สามารถทำได้
กระทั่งล่าสุด รมว.เกษตรฯออกมาระบุเอง
ที่จะหาทางใช้มาตรา 44 นี้ ซึ่งลึกๆดูเหมือนพล.อ.ฉัตรชัยอาจจะย่ามใจ เพราะเพิ่งใช้มาตรา 44 แก้ปัญหาภูทับเบิกและเรียกคืนพื้นที่ส.ป.ก.ได้รับเสียงเชียร์คับคั่ง….แต่กับโครงการสร้างเขื่อนนั้น ดูจะถูกโจมตีกลับว่า เป็นการสวนทางกับการเรียกคืนผืนป่า เพราะสร้างเขื่อนแม่วงก์ ย่อมมีผลให้ป่าหายไปจำนวนมาก จึงไม่ง่ายที่จะได้รับเสียงเชียร์เหมือนเดิม
การใช้มาตรา 44 อาจเหมาะสมที่จะใช้กับบางปัญหาที่ยากจัดการ โดยเฉพาะเรื่องผิดกฎหมาย ที่เป็นปัญหาหมักหมมมานาน เช่น เรื่องรุกป่า หรือปัญหา ส.ป.ก.
แต่กับโครงการที่มีผลกระทบต่อพื้นที่ป่าอย่างการสร้างเขื่อน ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องอ่อนไหวที่ไม่ใช่จะใช้อำนาจเด็ดขาดมาบีบบังคับให้คนยอมรับได้
ดังนั้น ถ้าจะผลักดันเขื่อนแม่วงก์ ก็ควรจะต้องทำความเข้าใจกับสาธารณชนให้ได้ว่า โครงการนี้มีประโยชน์มากมาย คุ้มค่าต่อการที่ต้องยอมรับความสูญเสียป่า ต้องใช้งานวิจัย งานวิชาการที่ชัดเจนเชื่อถือได้มายันกัน
ไม่ควรจะมาใช้วิธีปิดปาก ปิดหู ปิดตา ด้วยมาตรา 44 หรอกครับ
สาโรช บุญแสง