ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/234668
วันอาทิตย์ ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
จากข่าวการผู้เสียชีวิตของพี่วินมอเตอร์ไซค์ใจดีที่ช่วยเหลือสุนัขจรจัดแล้วถูกกัด แต่คิดว่าคงไม่เป็นอะไร เลยไม่ได้ไปพบแพทย์ เรื่องนี้ทำให้หลายคนเริ่มวิตกกังวลกับโรคนี้กันครับ
เมื่อถูกสุนัขจรจัดหรือสุนัขที่ไม่ทราบที่มากัด สิ่งที่หลายคนกังวลกันก็คือ สุนัขหรือแมวตัวนั้นจะเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหรือเปล่า? สุนัขตัวนั้นจะมีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่? แผลเป็นรอยข่วนแค่ถลอกไม่ลึก จะติดเชื้อพิษสุนัขบ้าไหมนะ?
เรามาทำความเข้าใจวิธีการปฏิบัติตน เมื่อถูกสุนัขและแมวที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีนกัดกันครับซึ่งเรามีหลักการง่ายๆ 4 ข้อเท่านั้นครับ นั่นคือ “ล้างแผล – ใส่ยา – กักหมา – หาหมอ”
1.ล้างแผลให้สะอาดทันที ด้วยน้ำสะอาด และสบู่หลายๆ ครั้ง จากนั้นล้างซ้ำด้วยแอลกอฮอล์เพื่อฆ่าเชื้อ
2.ใส่ยาฆ่าเชื้อในกลุ่มไอโอดีน เช่น ทิงเจอร์ หรือโพรวิโดนไอโอดีน (เบตาดีน)
3.กักหมา สังเกตอาการและกักบริเวณสัตว์ที่กัดเรา ไว้ประมาณ 10-14 วัน
4.หาหมอ รีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า และวัคซีนป้องกันบาดทะยัก รวมถึงได้รับยาตามอาการ

สิ่งที่สำคัญที่ไม่ควรลืมคือ
– การกักบริเวณเพื่อดูอาการสัตว์ในหัวข้อ “กักหมา” นั้น ต้องมีอาหารและน้ำให้กินตามปกติด้วยนะครับ เพราะถ้าสัตว์ที่กัดเรานั้นตาย จะได้มั่นใจว่า สัตว์ไม่ได้ตายเพราะอดอาหาร หรือถูกทำร้ายจนตาย
– ถ้าสัตว์ตายในช่วงที่กักบริเวณไว้ (ต้องมั่นใจว่าไม่ได้โดนตีจนตาย หรือขาดอาหารจนตายนะครับ) ให้เอาซากไปส่งตรวจโดยด่วน โดยหากเป็นสุนัขโต ก็ให้ตัดหัวสัตว์ (หรือทั้งตัวก็ได้) ใส่ถุงพลาสติกชั้นหนึ่ง แล้วเอาถุงนั้นแช่น้ำแข็งอีกชั้นหนึ่ง (ต้องระวังไม่ให้มือเราเปื้อนน้ำลายสัตว์ด้วย) นำไปส่งสถานบริการตรวจหาเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า ได้แก่ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กรมปศุสัตว์ โรงพยาบาลศิริราช สถานชันสูตรโรคสัตว์ต่างๆ เป็นต้น
– อย่าปล่อยให้ซากสัตว์เริ่มเน่า เพราะจะไม่สามารถหาเซลล์ในสมองที่ติดเชื้อไวรัสได้ครับ
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในคนนั้น จะมีการฉีด 2 แบบ คือ
1.การฉีดวัคซีนชนิดก่อนได้รับเชื้อ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน(Pre-exposure) มักจะเป็นการฉีดในผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะต้องปฏิบัติการหรือคลุกคลีกับสัตว์บ่อยๆ เช่น สัตวแพทย์ นิสิตสัตวแพทย์ และบุคลากรทางการสัตวแพทย์ รวมถึงช่างตัดขน และผู้ดูแลฟาร์มสุนัข/แมวด้วย
2.การฉีดวัคซีนชนิดหลังได้รับเชื้อ (Post-exposure) เป็นการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันเป็นชุดหลังการได้รับเชื้อ หรือคาดว่าจะได้รับเชื้อไปแล้ว
ในกรณีผู้ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมาก่อน คุณหมอจะต้องนัดมาฉีดกระตุ้นวัคซีนหลายครั้ง เพราะเป็นการฉีดวัคซีนชนิดหลังการได้รับเชื้อ ส่วนผู้ที่ต้องคลุกคลีกับสัตว์บ่อยๆ เช่น สัตวแพทย์ นิสิตสัตวแพทย์ บุคลากรทางการสัตวแพทย์ คนอาบน้ำตัดขนสุนัข หรือผู้ดูแลฟาร์มสุนัข-แมว จะมีการฉีดวัคซีนชนิดก่อนได้รับเชื้อ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันเป็นประจำครับ
โปรแกรมวัคซีนในคนที่ใช้กัน (หลังถูกกัด) นั้น โดยปกติแล้ว ใน 1 คอร์ส จะมี 5 เข็ม โดยฉีดวันที่ 0 (วันที่ถูกกัด), วันที่ 3, วันที่ 7, วันที่ 14 และวันที่ 28 (ของการโดนกัด) อาจฉีดเข้าในผิวหนัง (intradermal) หรือฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง (subcutaneous) ตามแต่แพทย์เห็นสมควร แต่ถ้าเคยได้รับการฉีดวัคซีน (ชนิดก่อนได้รับเชื้อ) มาแล้ว จำนวนครั้งที่ฉีดก็จะลดลงไป เหลือ 1-2 เข็ม ตามระยะเวลา/ความห่างที่เคยฉีดวัคซีนมาแล้วครับ
ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงมาก เช่น สงสัยว่าสัตว์ที่กัดเป็นโรคแน่ๆ หรือโดนกัดเป็นแผลขนาดใหญ่ รวมถึงโดนกัดที่อวัยวะสำคัญมีเส้นประสาทไปเลี้ยงมาก เช่น หน้า, ฝ่ามือ, ฝ่าเท้า, อวัยวะเพศ เป็นต้น แพทย์อาจพิจารณาให้ อิมมูโนโกลบูลิน ด้วย (อธิบายง่ายๆ คือ อิมมูโนโกลบูลิน เป็นภูมิคุ้มกันชนิดทันที โดยไม่ต้องใช้เวลาในการกระตุ้น แต่จะมีราคาแพงกว่ามาก)
ส่วนการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าสามารถทำได้โดย
1.พาสุนัขและแมวที่เลี้ยงไว้ ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ตั้งแต่อายุ 3 เดือน และฉีดกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอทุกปี (ปีละครั้ง) ที่พึงระลึกเสมอว่า ลูกสุนัขก็มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้นะครับ และการฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้เท่านั้นครับ (ซึ่งการฉีดป้องกันเป็นประจำแล้วนั้น หากถูกสุนัขบ้ากัด ก็ยังต้องฉีดวัคซีนชนิดหลังถูกกัด แต่จะช่วยลดจำนวนเข็มของการฉีดลง)
2.เมื่อได้รับสุนัขและแมวใหม่มาเลี้ยง ควรทราบประวัติการฉีดวัคซีน และที่สำคัญควรปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำในการป้องกันโรคอื่นๆ ด้วย
3.อย่าปล่อยให้เด็กเล็กเล่นกับสุนัขหรือแมวที่ไม่คุ้นเคยตามลำพังรวมถึงควบคุมไม่ให้แกล้งหรือรบกวนสัตว์ เพราะมีความเสี่ยงต่อการโดนงับสูงครับ
4.เลี่ยงการสัมผัสน้ำลายของสัตว์ที่ไม่มีประวัติการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า
5.ไม่ควรใช้มือเปล่าล้วงปากหรือคอ เพื่อช่วยเหลือสุนัขหรือแมวที่แสดงอาการเหมือนมีอะไรติดคอ โดยที่ไม่เห็นว่าสัตว์คาบหรือกลืนอะไรลงไป เพราะนั่นอาจเป็นอาการของโรคพิษสุนัขบ้าครับ
6.ไม่คลุกคลีกับสัตว์นอกบ้าน ที่ไม่มีเจ้าของ หรือสัตว์ที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีนแล้วหรือยัง
**อย่าลืมนะครับว่า โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถป้องกันได้ครับ**
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
