ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/239256
วันจันทร์ ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายในการปรับโครงสร้างการผลิตข้าว ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ข้าวไทยปี 2558-2562 ของกรมการข้าวที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเรื่องข้าวในระยะยาวให้กับชาวนาทั้งประเทศ ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้น สร้างความมั่นคงในอาชีพ สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนในที่สุด ผ่านการขับเคลื่อนโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิตข้าวของชาวนา

นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า การส่งเสริมการทำนาแปลงใหญ่ ภายใต้โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิต ที่กรมการข้าวดำเนินการนั้น มีการดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 รูปแบบคือรวมเกษตรกรทำนา โดยเกษตรกรจะร่วมกันผลิตปัจจัยใช้เองในกลุ่ม มีการวางแผนการผลิตร่วมกัน โดยใช้เทคโนโลยีที่กรมการข้าวเข้าไปส่งเสริม เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ซึ่งได้ดำเนินการประมาณ 30 แปลง พอมาปี 2559 พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศให้เป็นปีแห่งการลดต้นทุน เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน โดยนโยบายการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยมารวมตัวเป็นกลุ่มเกษตรกร ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีศักยภาพ เนื่องจากเป็นการรวมพลังเกษตรกรที่สามารถสร้างอำนาจต่อรองได้ดียิ่งขึ้น
ฉะนั้น กรมการข้าวจึงได้ปรับรูปแบบโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิต ปี 2559 ให้สอดคล้องกับนโยบายเกษตรแบบแปลงใหญ่ ซึ่งแต่เดิมการส่งเสริมนาแปลงใหญ่ จะมุ่งไปที่ด้านการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตต่อไร่ของชาวนา ปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้เพิ่มแนวทางการขับเคลื่อนเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ลดต้นการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการผลิตข้าวของชุมชนแบบครบวงจร และการเชื่อมโยงตลาดระหว่างเกษตรกร ผู้ประกอบการ สหกรณ์การเกษตร เพื่อให้ชาวนาจำหน่ายข้าวเปลือกในราคาที่เป็นธรรม
การขับเคลื่อนนาแปลงใหญ่ของกรมการข้าว ด้านการลดต้นทุน เน้นการลดปัจจัยการผลิตและเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะลดการใช้เมล็ดพันธุ์ และเปลี่ยนจากการทำนาหว่านเป็นการทำนาแบบประณีตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนาดำหรือนาหยอด เช่น การใช้เครื่องหยอดข้าวงอก สามารถลดการใช้เมล็ดพันธุ์จากเดิมที่เกษตรกรใช้อยู่ที่ 25-30 กก.ต่อไร่ เปลี่ยนมาทำหยอดจะลดการใช้เมล็ดพันธุ์เหลือ 8-10 กก.ต่อไร่ ลดต้นทุนในส่วนของเมล็ดพันธุ์ลงได้ประมาณ 30% นอกจากนี้ เกษตรกรนาแปลงใหญ่ยังมีการตั้งกลุ่มผลิตปัจจัยการผลิตไว้ใช้ภายในกลุ่ม เช่น กลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว กลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ กลุ่มบริหารจัดการศัตรูข้าว กลุ่มผู้ใช้เครื่องจักรกลการเกษตร ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรค่อนข้างลดลงอย่างเด่นชัด

เมื่อเกษตรกรใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพ ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมคือทำนาแบบประณีตมากขึ้น ก็นำมาสู่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องของการตั้งกลุ่มบริหารจัดการปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในกลุ่ม มีการบริหารเครื่องจักรกลการเกษตรร่วมกัน วางแผนการผลิตร่วมกัน ไม่ว่าจะผลิตเมล็ดพันธุ์จำนวนเท่าใดถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของสมาชิกแปลงใหญ่ หรือจะผลิตข้าวคุณภาพ GAP ขายเป็นข้าวเปลือกให้กับโรงสี หรือผลิตข้าวตลาดเฉพาะ เช่น ข้าว GI หรือการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวต่างๆ เป็นต้น ก็จะมีการประชุมวางแผนร่วมกันก่อนการผลิต ที่เหลือก็เป็นส่วนของการเชื่อมโยงตลาด ซึ่งแต่เดิมจะใช้การเชื่อมโยงตลาดผ่านสหกรณ์การเกษตร ต่อมาได้มีการบูรณาการภายใต้แนวทางประชารัฐ ทางกระทรวงพาณิชย์ ได้นำสมาคมโรงสีข้าว ผู้ประกอบการเข้ามาสู่นาแปลงใหญ่ ทำให้ภาคการผลิตได้มีพบปะกับภาคการตลาดโดยตรง เกษตรกรจึงสามารถวางแผนการผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาด เป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี
นายอนันต์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2559 กรมการข้าวสามารถดำเนินการส่งเสริมการทำนาแปลงใหญ่ ได้ครบตาม
เป้าหมายในพื้นที่ 58 จังหวัด 301 แปลง มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 53,473 ราย พื้นที่ 780,265 ไร่ ทั้งนี้ คาดว่าผลที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายนาแปลงใหญ่ จะมีกลุ่มชาวนาผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพดีได้มาตรฐานไว้ใช้เองและไว้กระจายพันธุ์ ช่วยลดต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ จำนวน 15,000 ตัน และยังทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ดีตันละ 1,500 บาท คิดเป็นมูลค่าเพิ่ม 22.5 ล้านบาทต่อปี ขณะที่กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวคุณภาพ สามารถผลิตข้าวเปลือกคุณภาพดีได้ 271,000 ตันข้าวเปลือก ที่สำคัญคือลดต้นทุนการผลิตได้ไม่ต่ำกว่าตันละ 1,000 บาท คิดเป็นมูลค่าปีแรก 271 ล้านบาท และปีต่อไป 542 ล้านบาท สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตได้ 15% จึงเป็นการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน จำนวน 301 ชุมชน อีกทั้งยังสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชุมชนและเกษตรกรผู้สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้กับพื้นที่ของตนเองต่อไปได้
