ส่องเกษตร : มหากาพย์ทวงเงินโกงข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/237389

449007

วันพุธ ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

แม้จะมีความชัดเจนมากขึ้นกับการติดตามทวงคืนเงินของแผ่นดินที่เสียหายไปหลายแสนล้านบาทจากการดำเนินโครงการจำนำข้าวผลาญชาติที่เต็มไปด้วยการทุจริตคดโกงต่างๆ แต่มหากาพย์เรื่องนี้ยังน่าเป็นห่วงอยู่ว่าจะทวงเงินได้คืนมากน้อยสักเท่าไหร่กัน!!

ทั้งนี้ รมว.พาณิชย์-อภิรดีตันตราภรณ์ กับปลัดกระทรวงพาณิชย์-ชุติมาบุณยประภัศร ได้ประเดิมร่วมกันลงนามคำสั่งทางปกครองให้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์กับพวก 6 คนชดใช้ค่าเสียหายรวม 2 หมื่นล้านบาท จากกรณีการระบายขายข้าวแบบ“จีทูจี”ที่เป็นการทุจริตลวงโลก โดยสั่งให้นายบุญทรงชดใช้กว่า 1.7 พันล้านบาท, นายภูมิ สาระผลอดีตรมช.พาณิชย์กว่า 2.2 พันล้านบาท ส่วนอีก 4 คนคือ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะอดีตเลขาฯรมว.พาณิชย์, นายมนัส สร้อยพลอยอดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ,นายทิฆัมพรนาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และนายอัครพงศ์ ทีปวัชระอดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ คนละ 4 พันล้านบาท

ขณะที่คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งของกระทรวงการคลังที่มีนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน ก็สรุปตัวเลขที่จะเรียกเงินชดใช้จากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแล้ว จำนวน 35,700 ล้านบาท หรือ 20% ของความเสียหายโครงการจำนำข้าวทั้งหมดที่ประเมินไว้ 178,000 ล้านบาท โดยได้ลงนามเสนอต่อนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหรือรมว.คลัง ออกคำสั่งทางปกครองต่อไป… แม้จะมีเสียงท้วงติงจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะ สตง.ที่ไม่เห็นด้วยกับการเรียกค่าเสียหายอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์แค่ 20% ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม การติดตามทวงเงินคืนแผ่นดินครั้งนี้ เชื่อได้ว่า ยังจะเป็น“มหากาพย์”ที่ปั่นป่วนอีกยาวนาน และที่สำคัญยากจะยึดเงินคืนได้ครบถ้วน หรืออาจยึดได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น

ทั้งนี้โดยดูจากบัญชีทรัพย์สินที่แต่ละคนยื่นแสดงต่อป.ป.ช.ล่าสุด อย่างอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ยื่นบัญชีไว้เมื่อปี 2558 หลังพ้นตำแหน่ง 1 ปี ปรากฏว่า ทั้งตัวเองกับสามี(ที่ไม่ได้จดทะเบียนด้วย)และลูกมีทรัพย์สินรวมกันมูลค่า 693.8 ล้านบาท เทียบแล้วไม่ถึง 2%ของจำนวนที่ถูกเรียกให้ชดใช้ 35,700 ล้านบาทเลย หรือนายบุญทรงกับภริยาแจ้งทรัพย์สินไว้ 17.8 ล้านบาท ทั้งหมดก็แค่ 1%ของจำนวนที่ถูกเรียกค่าเสียหาย 1.7 พันล้านบาทเท่านั้น ส่วนนายภูมิก็เช่นกัน มีทรัพย์สินทั้งตัวเองและเมีย 39.3 ล้านบาท ก็ยังไม่ถึง 2%ของเงินที่ต้องชดใช้ 2.2 พันล้านบาท เป็นต้น

แน่นอน มิอาจรู้ได้ว่าบุคคลเหล่านี้มีทรัพย์สินที่ซุกซ่อนไว้อีกหรือไม่ มากมายขนาดไหน แต่เอาแค่ทรัพย์สินเท่าที่ยื่นแสดงไว้ ถ้าจะยึดให้ได้ ก็ยังต้องสู้คดีชั้นศาลปกครองอีกพอสมควร หลังจากนั้น เมื่อคดีสิ้นสุด ถ้าคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ได้ ก็ยังมีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยสำหรับกรมบังคับคดีที่จะเข้ามายึดทรัพย์ เมื่อยึดได้ไม่ครบจำนวนที่ต้องจ่ายชดใช้ ที่เหลือก็ต้องฟ้องล้มละลาย…นี่ว่ากันตามขั้นตอนกฎหมาย แต่ระหว่างนั้น บรรดาลิ่วล้อบริวารที่ต้องแสดงออกว่าปกป้อง“เจ้านาย” ก็ไม่รู้จะเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนอะไรอีกสักแค่ไหน

นอกจากนั้น ค่าเสียหายจากโครงการจำนำข้าวที่คณะกรรมการชุดของนายมนัส แจ่มเวหา ประเมินไว้ 178,000 ล้านบาท หักที่ให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ชดใช้ 20% ก็ยังเหลืออีก 80%คิดเป็นเงิน 142,300 ล้านบาท ซึ่งรองนายกฯวิษณุ เครืองามระบุว่า ค่าเสียหายที่เหลือนี้จะต้องไปไล่เบี้ยเอากับเอกชน โรงสี ยุ้งฉาง ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ในส่วนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทุจริต ตลอดกระบวนการของการรับจำนำข้าวทั่วประเทศ

ส่วนนายมนัสระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนเป็นกรณีย่อยๆเช่น กรณีทุจริตสวมสิทธิ์จำนำข้าว,การนำข้าวผิดประเภทมาจำนำ,การเวียนเทียนข้าวและกรณีข้าวหายที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ก่อนเสนอเรื่องมาให้คณะกรรมการฯเพื่อหาผู้รับผิดทางแพ่งและสั่งชดใช้เงินคืนต่อไป ซึ่งต้องเร่งยื่นเรื่องดำเนินการตามกฎหมายภายใน ก.พ.2560 โดยคดีจะมีอายุความทั้งสิ้น 10 ปี นับตั้งแต่ที่เริ่มโครงการจำนำข้าวในปี 2554 ไปถึงปี 2564

ยุทธการ“ไล่เบี้ย”ที่ว่ามานี้ แม้เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย แต่เชื่อได้เลยว่า จะต้องเกิดความระสำระส่ายไปทั่ว

อีกทั้งประสิทธิภาพในการจัดการของหน่วยงานรัฐ ตลอดคดีจำนำข้าวที่ผ่านมา ก็ยังทำให้เป็นห่วง ขนาดบางคนถึงกับประชด ไม่เชื่อว่า “ชาตินี้จะทวงคืนเงินโกงข้าวกลับมาได้ครบ!”

สาโรช บุญแสง

Leave a comment