รู้จัก 2 ผู้ท้าชิงเก้าอี้รองปธน.สหรัฐฯ กับผลการโต้วาทีอันดุเดือด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 7 ต.ค. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/746006

 

จบลงไปแล้วสำหรับการดีเบต หรือการโต้วาทีประชันวิสัยทัศน์อย่างเป็นทางการครั้งเดียวระหว่าง 2 ผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แก่นาย ไมค์ เพนซ์ ตัวแทนฝ่ายรีพับลิกัน และนายทิม เคน ตัวแทนฝ่ายเดโมแครต ซึ่งเกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยลองวู้ด เมืองฟาร์มวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา (วันที่ 5 ต.ค.ตามเวลาไทย) โดยทั้งสองฝ่ายต่างปะทะคารมตอบโต้กันอย่างดุเดือด

เสียงส่วนใหญ่หลังการดีเบตชี้ว่า นายเพนซ์ เป็นฝ่ายกำชัยชนะในการประชันวิสัยทัศน์ครั้งนี้ แต่ก่อนที่เราจะกล่าวถึงเรื่องนั้น ขอพาท่าผู้อ่านไปทำความรู้จักกับว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้ง 2 คนนี้ก่อน


ทิม เคน และไมค์ เพนซ์ จับมือทักทายกัน

ทิม เคน และ ไมค์ เพนซ์ เป็นใคร?

ในขณะที่นาย โดนัล ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฝ่ายรีพับลิกันและนาง ฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนฝั่งเดโมแครต เป็นบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดในสหรัฐฯ ตอนนี้ แต่ผู้ที่พวกเขาเลือกให้เป็นคู่หูลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง ไมค์ เพนซ์ และทิม เคน กลับเป็นไม่ที่รู้จักของชาวอเมริกันนัก ทั้งที่ทั้งสองคนเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์สูง และคร่ำหวอดในวงการนี้มานับสิบปี ซึ่งต่อไปนี้คือข้อมูลที่ควรรู้ของผู้สมัครทั้ง 2 คน

เริ่มต้นด้วย ไมค์ เพนซ์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ขณะนี้มีอายุ 57 ปี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอินเดียนามาตั้งแต่ปี 2013 และเป็นตัวแทนของในสภาคองแกรสของสหรัฐฯ มานานนับทศวรรษ เขาสนับสนุนแนวคิดเรื่องการลดภาษี, ลดโครงข่ายรองรับทางสังคม และเช่นเดียวกับนายทรัมป์ เขามีความกังขาในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศ


ไมค์ เพนซ์

นายเพนซ์ เติบโตขึ้นมาโดยนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก แต่ตอนนี้เขาหันไปนับถือนิกายโปรแตสแตนท์ สายอีแวนเจลิค แล้ว และก่อนหน้านี้เข้าต้องตกที่นั่งลำบาก หลังจากลงนามในกฎหมายเสรีภาพทางศาสนาในรัฐอินเดียนา ซึ่งฝ่ายต่อต้านระบุว่าเป็นการอนุญาตให้ธุรกิจต่างๆ กีดกันคนรักเพศเดียวกัน แต่ในเวลาต่อมาเขาก็แก้ไขกฎหมายนี้ ล่าสุดเขาเพิ่งลงนามกฎหมายที่ให้มีการฝังหรือฌาปณกิจตัวอ่อนทารกในครรภ์จากการแท้งหรือทำแท้งในช่วงสัปดาห์แรกๆ ด้วย

เมื่อครั้งที่นายทรัมป์ ประกาศเลือกนายเพนซ์เป็นคู่หูลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์กล่าวว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจคือ นายเพนซ์สนับสนุนความสามัคคีภายในพรรครีพับลิกัน นอกจากนี้ นายเพนซ์ยังถูกมองว่าเป็นผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ทั้งในด้านการเงินและสังคม ซึ่งจะสามารถช่วยเรียกคะแนนจากผู้โหวตภายในพรรค และทำให้นายทรัมป์เป็นที่พอใจของสมาชิกพรรครีพับลิกัน ซึ่งบางส่วนก็ไม่สนับสนุนการเป็นตัวแทนพรรคของเขา

อย่างไรก็ตาม นายเพนซ์ไม่เห็นด้วยกับความคิดของนายทรัมป์หลายอย่าง โดยเขาเคยกล่าวต่อต้านคำเรียกร้องของตัวแทนพรรครีพับลิกันรายนี้ ที่ต้องการให้ห้ามชาวมุสลิมเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ และห้ามทำข้อตกลงทางการค้า


โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ด้าน ทิม เคน เป็นสมาชิกวุฒิสภาผู้แทนรัฐเวอร์จิเนีย วัย 58 ปี ที่ดูแลในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกิจการทางทหาร เขายังสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในเรื่องการทำงานโดยก้าวข้ามเส้นแบ่งของพรรคการเมือง ในสมัยที่เขาเป็นผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย และนายกเทศมนตรีเมืองริชมอนด์

ในตอนที่นางคลินตันประกาศเลือกนายเคนเป็นคู่หูในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เธออธิบายคุณสมบัติของนายเคนว่า เป็นชายผู้อุทิศชีวิตตัวเองในการต่อสู้เพื่อผู้อื่น เธอยังเรียกเขาว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี ผู้เชื่อว่าไม่มีปัญหาใดที่แก้ไม่ได้หาคุณทุ่มเทความพยายามในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม นายเคนต้องเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เขาเป็นคนน่าเบื่อ ซึ่งตัวเขาเองก็เห็นด้วยในเรื่องนั้น

ก่อนจะมาเล่นการเมือง นายเคนเคยเป็นนักกฎหมาย ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องสิทธิพลเรือนและเรื่องความเป็นธรรมในการซื้อขายเคหะสถาน เขายังสามารถพูดภาษาสเปนได้ โดยเรียนรู้ระหว่างเดินทางไปทำหน้าที่หมอสอนศาสนาในประเทศฮอนดูรัส ในช่วงทศวรรษที่ 1980


ทิม เคน

มีหลายครั้งที่ความเชื่อทางศาสนาของเขามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในด้านการปกครองของเขา และหลังจากที่เขาออกมาแสดงการต่อต้านการแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐในปี 2005 เขาก็แตกหักกับทางคริสตจักรคาทอลิก และหันมาสนับสนุนในเรื่องนี้ เขายังเคยกล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาต่อต้านการทำแท้ง แต่สุดท้ายเขาก็ลงคะแนนสนับสนุนสิทธิการทำแท้ง

นายเคน ไม่เป็นที่ชื่อชอบของกลุ่มฝ่ายซ้ายในพรรคเดโมแครต เนื่องจากเขาต่อต้านการตรวจสอบธนาคาร, สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง และสนับสนุนความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ ซึ่งฝ่ายสนับสนุนระบุว่า ทีพีพีจะช่วยเปิดเสรีทางการค้าในโลก ขณะที่ฝ่ายคัดค้านระบุว่า ความตกลงนี้จะทำให้บริษัทต่างๆ ได้เปรียบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นายเคน เปลี่ยนความคิดและไม่สนับสนุน ทีพีพี แล้ว รวมถึงเรื่องการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง เช่นเดียวกับนางคลินตัน


ฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

เพนซ์ VS เคน ดีเบตครั้งแรกและครั้งเดียวระหว่างทั้งสองคน

ด้วยความที่นายเพนซ์ และนายเคนไม่ค่อยเป็นที่รู้จะของชาวอเมริกันทั่วไป การดีเบต หรือโต้วาที ในวันอังคารที่ 4 ต.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) ที่มหาวิทยาลัยลองวู้ด เมืองฟาร์มวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นการประชันวิสัยทัศน์อย่างเป็นทางการเพียงครั้งเดียวระหว่างทั้งสองคน จึงเป็นเวทีที่เหมาะสมที่สุดในการแนะนำตนเอง และแสดงจุดยืนของตัวเองให้ชัดเจน

ในการดีเบต 90 นาที เคนและเพนซ์ปะทะกันหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องการทำแท้งไปจนถึงรัสเซีย แต่ที่ดุเดือดที่สุดคือการแลกหมัดโจมตีคลินตันและทรัมป์ คู่หูของแต่ละฝ่าย โดยเคนโจมตีทรัมป์ว่าบ้าคลั่ง ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ จะเกิดหายนะถ้าได้เป็นผู้นำและแม่ทัพที่มีอำนาจสั่งกดปุ่มอาวุธนิวเคลียร์ ดังที่อดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนเคยเตือน เขายังโจมตีที่ทรัมป์กล่าวชื่นชมประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้นำเผด็จการคล้ายคิม จอง-อึน แห่งเกาหลีเหนือ, ซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัก และโมอัมมาร์ กัดดาฟี แห่งลิเบีย

ส่วนเพนซ์โต้ว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา และคลินตัน อดีต รมว.ต่างประเทศในรัฐบาลโอบามาสมัยแรก เป็นผู้นำที่อ่อนแอไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ผู้นำรัสเซียแข็งแกร่งกว่าในเวทีโลก ส่วนนโยบายต่างประเทศก็ล้มเหลว ทั้งคู่ยังปะทะกันเรื่องการจัดการภาษีของทรัมป์ ซึ่งยังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษี และ นสพ.นิวยอร์ก ไทม์ แฉว่า บริษัทของเขาไม่เสียภาษีใน 18 ปีหลัง โดยอ้างว่าขาดทุน 916 ล้านดอลลาร์ในปี 2538 ซึ่งเพนซ์ชมว่าทรัมป์ใช้กฎหมายภาษีอย่างฉลาด ขณะที่เคนเสียดสีว่า “งั้นพวกเราทุกคนที่เสียภาษีก็โง่น่ะสิ”


หนังสือกำหนดการการโต้วาทีของผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

เพนซ์ชนะ แต่เคนก็แพ้ไม่น่าเกลียด

หลังการดีเบตจบลง ทั้งสื่อและบรรดานักวิจารณ์ต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ไมค์ เพนซ์ เป็นฝ่ายชนะในการดีเบตครั้งนี้ โดยนายเคนยอมรับว่าเขาตื่นเต้นเกินไป และการที่เขาพยายามขัดจังหวะของเพนซ์ในช่วง 20 นาทีแรกก็ทำให้ทุกอย่างผิดทิศผิดทางไปหมด ขณะที่นายเพนซ์แสดงให้เห็นถึงความสงบ ทำหูทวนลมต่อข้อครหาต่างๆ ของนายทรัมป์ที่อีกฝ่ายใช้เป็นข้อโจมตี และสร้างความปั่นป่วนให้กับเคนด้วยคำโกหกไม่รู้จบ

นักวิเคราะห์ระบุด้วยว่า นายเพนซ์ทำตามแผนการที่วางเอาไว้ได้ดีกว่านายเคน นอกจากนี้เขายังสร้างโอกาสในการถามคำถามเกี่ยวกับนางคลินตัน และประธานาธิบดีโอบามา เรื่องนโยบายที่ล้มเหลว ทำให้นายเคนต้องตกเป็นฝ่ายรับเกือบตลอดการโต้วาที

แต่ถึงแม้นายเคนจะไม่ชนะในเรื่องความสามารถเหล่านี้ แต่ก็ถือว่า เขาทำงานที่ได้รับมอบหมายมาได้อย่างลุล่วง ทั้งการจี้จุดโจมตีโดนัลด์ ทรัมป์ และเน้นย้ำความแตกต่างมากมายระหว่างวิสัยทัศน์ด้านความยุติธรรมทางเชื้อชาติของนางคลินตันกับการเหยียดเชื้อชาติและความดื้อรั้นของนายทรัมป์ ทำให้นายเพนซ์ต้องตกเป็นฝ่ายรับอยู่ช่วงหนึ่ง

นายเคนยังทำคะแนนได้บ้างในช่วงครึ่งหลังของการโต้วาที หลังจากนายเพนซ์พูดถึงความไม่ซื่อสัตย์ของมูลนิธิคลินตัน แต่นายเคนสามารถตอบโต้กลับได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการเน้นย้ำผลงานดีๆ ที่ผ่านมา และตอบโต้ด้วยข่าวอื้อฉาวในมูลนิธิและธุรกิจของนายทรัมป์ และในตอนท้ายเมื่อพูดถึงประเด็นการทำแท้ง นายเพนซ์กลับเริ่มมีอารมณ์รุนแรงขึ้นมาเป็นครั้งแรก ทำให้เขาพูดเป็นนัยว่า ผู้หญิงควรถูกบังคับให้คลอดบุตรเพื่อให้คนแปลกหน้าที่ต้องการเด็กเอาไปเลี้ยง ก่อนที่นายเคนจะตอกกลับในจุดนี้ ทำให้นายเพนซ์ได้แต่ตอบกลับด้วยคำพูดที่ไม่มีน้ำหนักเท่านั้น


ชาวอเมริกันชูป้ายเชียร์โดนัลด์ ทรัมป์ และ ไมค์ เพนซ์

อย่างไรก็ตาม การดีเบตของผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีไม่ว่าจะยุคสมัยใด ก็ไม่ค่อยมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของประชาชนมากนัก แต่จะมีประโยชน์ในด้านการกระตุ้นฐานเสียงที่มีอยู่เดิม และโจมตีผู้สมัครฝ่ายต่างข้าม ซึ่งนายเคนสามารถทำ 2 เรื่องนี้ได้สำเร็จ เพราะฉะนั้น ถึงการโต้วาทีในภาพรวมจะแพ้ แต่ก็ไม่น่าเกลียด

หลังจากนี้ ชาวอเมริกัน รวมทั้งทั่วโลกจะกลับไปจับตามองการโต้วาทีครั้งที่ 2 ระหว่างนายทรัมป์ และนางคลินตัน ซึ่งจะเกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เวลา 21:00น. วันอาทิตย์ที่ 9 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่น และจับตาดูว่า คลินตันจะสามารถเอาชนะนายทรัพป์ได้อีกครั้งหรือไม่ แล้วมหาเศรษฐจากนิวยอร์กผู้นี้จะมีไม้เด็ดอะไรมาแก้มือ

 

Leave a comment