ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/759821
21 ต.ค. 2559 11:30

ซึ้งน้ำตานอง! คนไทยในนิวยอร์ก ร่วมแสดงความอาลัย ในหลวง ร.9 (ชมคลิป)
21 ต.ค. 2559 11:30
เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 59 ที่เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการจัดงานรวมใจคนไทยในนิวยอร์กเพื่อแสดงความอาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บริเวณลานยูเนี่ยนสแควร์
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ต่อสายตรงไปยังผู้จัดงานนี้ถึงจุดประสงค์ ความรู้สึกของคนไทยในต่างแดน รวมถึงสายตาของชาวนิวยอร์กพวกเขาคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร
ต้องอธิบายก่อนว่า งาน NYC Gathering in Remembrance of HM King Bhumibol Adulyadej ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 59 นั้น แบ่งเป็น 2 รอบ คือ รอบค่ำ เวลา 07.30 pm และรอบกลางคืน 11.00 pm กำหนดการภายในงานจะมีการอ่านคำสอนของพ่อ โดยผู้แทนจากประชาชน จุดเทียนรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีแก่พสกนิกรชาวไทย และร่วมกันขับร้องเพลงของขวัญจากก้อนดิน ยืนสงบนิ่ง น้อมถวายบังคม แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเวลา 9 นาที ก่อนร่วมกันขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีขอพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย
นายณภพ ปุณณภิวัฒน์ อายุ 28 ปี อาชีพเชฟและเจ้าของธุรกิจส่วนตัว เป็นผู้รับหน้าที่พิธีกรในงานนี้ กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงจุดประสงค์ของการจัดงานว่า “หลังจากที่ในหลวงสวรรคต พวกเราก็มีความคิดที่จะรวมตัว เพื่อจะแสดงความอาลัย จึงโพสต์เฟซบุ๊กลงในกลุ่มชมรมคนไทยที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางในการติดต่อสื่อสารกันในหมู่คนไทย พวกเราอาสาจัดงานนี้ขึ้นมาเอง โดยรวบรวมทุนส่วนตัวและเงินบริจาคจากคนไทยที่นี่ เป็นการรวมพลังน้ำใจจากคนไทยจริงๆ”
คนไทยที่อยู่นิวยอร์กเป็นอย่างไรบ้างหลังทราบข่าว? นายณภพ เผยว่า “ทุกคนเศร้าไม่แพ้คนไทยที่อยู่เมืองไทย ทุกคนพร้อมใจกันเปลี่ยนเสื้อผ้า ในขบวนรถไฟทุกคนพร้อมใจกันใส่ชุดดำโดยไม่ได้นัดหมาย กลายเป็นภาพๆ หนึ่งที่ขบวนรถไฟไม่มีเสื้อสีอื่นเลยนอกจากดำ หรืออย่างเวลาไปเดินย่าน Thai Town มีคนใส่ชุดดำเราก็รู้เลยว่าเป็นคนไทยแน่นอน และในร้านอาหารไทยหลายๆ ร้าน จากที่เคยเปิดเพลงฝรั่งก็เปลี่ยนมาเปิดเพลงพระราชนิพนธ์”
เชฟไทย วัย 28 ปี เล่าต่อว่า “ฝรั่งที่นั่นเขาก็ถามนะว่า ยูจัดงานอะไรกัน ใครเสีย เราก็ชี้แจงไปว่าเป็น The King ของไอเพิ่งสวรรคตไป เขาก็ตกใจ และก็พูดกลับมาเป็นภาษาไทยว่า สวัสดีครับ และชวนเราคุยเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับประเทศไทยเพื่อไม่ให้เราทุกข์ พยายามทำให้เราขำ เขาบอกว่ากษัตริย์ของยูเพิ่งจะเสียไม่อยากทำให้ยูเศร้า และตำรวจที่นั่นเขาดูแลพวกเราเป็นอย่างดีมากเลยครับ”
“จริงๆ แล้วสิ่งที่เราทำอยู่มันผิดกฎหมายของนิวยอร์กที่ชุมนุมกันเกิน 20 คน ในที่สาธารณะ ซึ่งเราก็พยายามทำให้ถูกกฎหมายทุกอย่าง ไปยื่นทำเรื่องขออนุญาตการจัดและเสียภาษีค่าไฟ แต่ตำรวจบอกว่าสิ่งที่เราทำไม่ใช่การประท้วงคุณทำได้เต็มที่เลยไม่ผิดกฎหมาย และทางตำรวจชั้นผู้ใหญ่เขาอนุโลมให้ เพราะเห็นว่าเป็นการชุมนุมเพื่อแสดงความอาลัยต่อในหลวง เขาช่วยเหลือเราโดยให้จัดงานได้โดยไม่ต้องเสียภาษี และมาดูแลอย่างดีตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึงตี 2 โดยที่ไม่มีการบ่นและไม่ได้เงินเลยด้วยซ้ำ”
“มีลูกค้าชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินมาถามผมว่า คุณเป็นคนไทยใช่ไหม ฉันทราบข่าว The King ของคุณจากโทรทัศน์แล้วนะ เขาก็มาแสดงความเสียใจ เขาบอกว่า เขารู้จัก The King จากเมืองไทย เห็นรูปในหลวงจากเมืองไทย จำได้ว่าในหลวงทำอะไรบ้าง เขาเห็นจากรูปภาพต่างๆ นี้เป็นลูกค้าท่านแรกที่เดินมาพูดกับผมในวันที่ในหลวงสวรรคต”
ด้าน คุณจันทิมา เนตรประจักษ์ อายุ 39 ปี เจ้าของร้านอาหาร หนึ่งในผู้ร่วมงานครั้งนี้ ได้เล่าถึงบรรยากาศ ที่นิวยอร์กในขณะนั้นให้ฟังว่า “คนมาเยอะมาก ไม่คิดว่าคนจะมาเยอะขนาดนี้ ประมาณ 1,000 กว่าคนในแต่ละรอบ ต่างชาติก็มาร่วมพิธีด้วยเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นแฟน หรือสามีภรรยาที่แต่งงานกับคนไทย คนที่เขารู้จักประเทศไทย อยู่แถวๆ นั้นเขาก็เดินเข้ามา ทุกคนเดินถือรูปในหลวงร้องไห้มาด้วยความเศร้า แต่ทุกคนก็ปลื้มใจที่อย่างน้อยได้มาไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเราสามารถทำให้คนต่างชาติเห็นว่าคนไทยรักในหลวงมากแค่ไหน”
“เราก็รู้สึกปลื้มมากไม่คิดว่าคนจะมาเยอะขนาดนี้ ทีมจัดงานทุกคนทำงานทุกวัน และต้องกลับมานั่งแชตคุยกันตีสามตีสี่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ ซึ่งงานนี้เป็นงานที่เกิดจากการรวมพลังของกลุ่มคนไทยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ที่มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ ต้องการทำเพื่อพ่อครั้งสุดท้าย”
“ทางร้านอาหารก็ให้เด็กติดโบดำไว้ที่เสื้อด้วย ลูกค้าก็จะถามว่า มันหมายความว่าอย่างไรที่ติดโบดำ ก็เลยตอบไปว่า กษัตริย์เราสวรรคต เขาก็ถามต่อว่า ทำไมถึงต้องเสียใจขนาดนี้ เราก็เล่าให้เขาฟังว่า ท่านทำเพื่อประชาชนมามาก ท่านไม่เคยคิดว่าจะเหนื่อยเพื่อประชาชน ท่านทำให้ประชาชนมาเยอะ เขาก็เข้าใจว่าเหมือนกับเป็นการไว้อาลัย”
ขอบคุณภาพประกอบจาก Piyawan Chitsamran , Pratya Jankong





