งูสวัดป้องกันได้ด้วยวัคซีน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/239390

วันอังคาร ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

พญ.อรพิชญา ไกรฤทธิ์ และ กุลนิติ ทองใหญ่ ณ อยุธยา

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คณะแพทยศาสตร์ หน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยที่มาที่ไปของโรคงูสวัด พร้อมทั้งวิธีป้องกัน ที่สามารถทำให้ผู้สูงอายุห่างไกลจากความเจ็บป่วยจากโรคนี้ได้ หากว่าผู้สูงอายุต้องเผชิญกับโรคนี้แล้ว การดูแลตัวเองและการได้รับการดูแลจากคนในครอบครัว ก็เป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะโรคนี้มีผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ

พญ.อรพิชญา ไกรฤทธิ์ คณะแพทยศาสตร์หน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ โรงพยาบาลรามาธิบดีกล่าวว่า “โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใสที่หลบซ่อนอยู่ในปมประสาทใต้ผิวหนังหลังจากมีการติดเชื้อชนิดนี้ครั้งแรก โดยเชื้อไวรัสจะแฝงตัวอยู่เป็นเวลานานหลายสิบปี จนเมื่อใดที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะจากการที่อายุมากขึ้น เชื้อที่แฝงตัวอยู่จะกระจายตัวตามปมประสาททำให้เส้นประสาทถูกทำลาย โดยจะแสดงอาการออกมาเป็นผื่นแดงและตุ่มน้ำใสๆ เรียงตัวเป็นกลุ่มตามแนวเส้นประสาทซึ่งผู้ป่วยจะต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการที่ตามมา นั่นคืออาการปวดแสบปวดร้อนตรงบริเวณผิวหนัง แม้บางครั้งถูกสัมผัสเพียงเบาๆ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันโดยตรง ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการนอนได้”

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่มีการสำรวจในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า 1 ใน 3 ของประชากรที่มีอายุถึง 80 ปีเคยเป็นโรคงูสวัดมาแล้ว และความชุกของโรคงูสวัดจะพบมากขึ้นอย่างชัดเจนในประชากรที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ซึ่งผู้สูงวัยกลุ่มดังกล่าวจะมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดได้มากกว่าผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี ถึง 2 เท่า

“ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคงูสวัดนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงยิ่งมีอายุมากจะยิ่งเป็นรุนแรงและนานขึ้น เช่น อาการปวดตามแนวเส้นประสาทเรื้อรังแม้ผื่นได้รับการรักษาจนหายแล้ว หรือ Post HerpeticNeuralgia (PHN)ซึ่งมักมีอาการปวดลึกๆ เรื้อรังเป็นเวลานานซึ่งอาจยาวนานเป็นปีได้และอาจมีไข้ร่วมด้วยโดยพบได้บ่อยถึงร้อยละ 60ของผู้ป่วยเป็นงูสวัดที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปนอกจากนี้ ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ในผู้สูงวัยอาจเกิดขึ้นบริเวณดวงตาซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงจนทำให้ตาบอด หรือหากงูสวัดขึ้นบริเวณหูด้านนอกหรือแก้วหูอาจทำให้ใบหน้าซีกนั้นๆ เกิดอัมพาตปากเบี้ยวหรือไม่สามารถหลับตาข้างนั้นให้สนิทได้ยิ่งไปกว่านั้น หากติดเชื้องูสวัดชนิดแพร่กระจายออกนอกแนวเส้นประสาท เชื้อไวรัสอาจกระจายเข้าสู่สมองและอวัยวะภายในอื่นๆเช่น ตับ ปอด หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้”

พญ.อรพิชญา กล่าวต่อว่า ความรุนแรงและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสงูสวัดภายในร่างกายนั้นยิ่งทวีคูณตามอายุ ดังนั้น แนวทางการป้องกันโรคงูสวัดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากเริ่มจากการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด ซึ่งจากการศึกษาการใช้วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด พบว่าสามารถลดความเสี่ยงของโรคได้ร้อยละ 70 ในผู้มีอายุระหว่าง 50-59 ปีและร้อยละ 50 ในผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปอีกทั้งช่วยลดอุบัติการณ์ของอาการปวดตามแนวเส้นประสาทเรื้อรังได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีผู้สูงวัยในประเทศไทยเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดเพียงไม่ถึงร้อยละ 10ซึ่งยังเป็นจำนวนที่น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรผู้สูงอายุ ทั้งประเทศนอกจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดเป็นการฉีดเพียงครั้งเดียวเพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันให้แก่โรคนี้ ทั้งนี้ ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสได้ด้วยการรักษาสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน เช่น การล้างมือให้สะอาด และรักษาความสะอาดของใช้ส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้ง แนะนำให้ผู้สูงวัยหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมชนแออัด อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี และรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ

ด้าน กุลนิติ ทองใหญ่ ณ อยุธยาผู้มีประสบการณ์จากโรคงูสวัด เผยว่า “ก่อนจะทราบว่าตัวเองเป็นโรคงูสวัดก็มีเพียงอาการวิงเวียนและปวดเมื่อยตามตัว แต่ความเจ็บปวดมันเจ็บแปลบไปจนถึงหัวใจและสังเกตเห็นผื่นแดงขึ้นตามลำคอ แขนข้างซ้ายและที่หลัง จึงรีบไปพบแพทย์ ช่วงที่เป็นงูสวัดรู้สึกเจ็บปวดมากจนไม่อยากขยับร่างกายเพราะต้องทนกับอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกไฟไหม้อยู่ตลอดเวลา จึงขอแนะนำให้ผู้สูงอายุทุกท่านเข้ารับการฉัดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอันแสนทรมาน”

Leave a comment