มลพิษต้นเหตุสำคัญคนไทยป่วยโรคทางเดินหายใจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/240530

วันอังคาร ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ปัจจุบันประชาชนทั่วโลกกำลังประสบปัญหาวิกฤติมลพิษขั้นรุนแรง อาทิ ปัญหาหมอกควันข้ามแดน สภาพอากาศแปรปรวน และสภาวะเรือนกระจกที่ส่งผลทำให้โลกร้อนขึ้น  โดยตรวจพบว่า กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก ทำให้อากาศร้อน ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ มากขึ้นทุกปี จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างร่วมรณรงค์ให้ทุกคนตระหนัก และเห็นความสำคัญของรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นโครงการปลูกป่า โครงการลดมลภาวะทางอากาศ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาวะความเป็นอยู่ที่ดีและได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา

นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า จากสภาพแวดล้อมและมลพิษที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยในปัจจุบันพบว่า ประชาชนป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจค่อนข้างสูง โดยมีอัตราการเกิดของโรคเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แบ่งเป็นเด็ก 20-30 เปอร์เซ็นต์ อายุเฉลี่ยประมาณ 6 ปีขึ้นไป เพราะมลพิษทางอากาศ ฝุ่น ควัน ต่างๆ เป็นตัวกระตุ้นทำให้ภูมิต้านทานลดลง ซึ่งโรคที่พบบ่อยที่สุด คือ โรคทางเดินหายใจอักเสบ โรคแพ้ทางผิวหนัง โดยแบ่งเป็นโรคจมูกอักเสบเรื้อรังประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์

“โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ อาทิ โพรงจมูก หลอดลม โดยส่วนมากจะพบมาจากสาเหตุการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อราโปรตัวซัว รวมถึงสารพิษ สารเคมี และการเกิดเนื้องอกมะเร็ง ส่วนสาเหตุของโรคหลักๆ คือ พันธุกรรม และอาจเกิดจากการสัมผัสสารระคายเคือง การหายใจอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ สำหรับวิธีดูแลตัวเองไม่ให้ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ คือ หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ”

ชาญวิทย์ จารุสมบัติ

ชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะภาคเอกชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกัน จึงได้ผนึกกำลัง 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และไทย จัดโครงการ One Dream One Tree เพื่อร่วมรณรงค์ให้คนไทยและประชาชนทั่วโลก หันมาให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

“ปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนเกิดจากน้ำมือมนุษย์แทบทั้งสิ้น ที่ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ตัดไม้ทำลายป่าทำให้เกิดปัญหาหมอกควัน ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าเหลืออยู่แค่ประมาณ 32-33% ถือว่าน้อยมากๆ ถ้าเราเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว พม่า และ อินโดนีเซีย ประเทศเหล่านี้มีพื้นที่ป่าประมาณ 60-70% ซึ่งในอดีตประเทศไทยก็เคยเป็นเช่นนั้น ผมว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะหันมาช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยอยากให้ทุกคนในฐานะผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ต่างๆ คำนึงถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ที่เราบริโภค และรู้จักการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตัดไม้ทำลายป่า เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน”

โครงการ One Dream One Tree ถือเป็นโครงการระดับภูมิภาค เพื่อร่วมกันส่งต่อต้นกระดาษให้ชาวนาไทย ปลูกเป็นรายได้เสริมบนคันนา เป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสนับสนุนการอนุรักษ์ไม้จากป่าธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ ในแต่ละประเทศอาทิ ศูนย์บริหารจัดการความยั่งยืน ศศินทร์(SCSM) ประเทศไทย,Seoul Federation of Environmental Movement ประเทศเกาหลีใต้, Malaysian Nature Society (MNS) ประเทศมาเลเซีย, The Singapore Environmental council (SEC) ประเทศสิงคโปร์ และ Programme for the Endorsement of Forest Certification (PEFC) ซึ่งขณะนี้มีผู้เข้าร่วมแคมเปญร่วมส่งมอบต้นไม้ให้ชาวนาแล้วกว่า200,000 ต้น ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 12 ล้านกิโลกรัม สามารถเข้าชมการเติบโตของต้นไม้ได้ที่ http://www.1Dream1Tree.com

 

Leave a comment