นับถอยหลัง..ศึกเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ ลุ้น’ฮิลลารี-ทรัมป์’ใครจะเข้าวิน!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 28 ต.ค. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/766421

 

เดือนมกราคม ปี 2017 ชาติมหาอำนาจที่มีอิทธิพลมากที่สุดบนโลก จะมีประธานาธิบดีคนใหม่ หลังจาก นางฮิลลารี คลินตัน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ สองผู้สมัครที่ได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ ได้ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ และกำลังทรัพย์ ไปกับการตระเวนหาเสียงในรัฐต่างๆ อย่างมหาศาล ก่อนจะถึงวันเลือกตั้งในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2016

ความยิ่งใหญ่ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คงไม่ใช่แค่เพียงการเลือกผู้นำประเทศ เท่านั้น แต่ถือเป็นการเลือกหัวหน้าคณะรัฐบาล และผู้บัญชาการกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนพื้นปฐพีนี้เลยทีเดียว!!

*คุณสมบัติเบื้องต้น ใครที่จะสามารถลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ?

ตามหลักการแล้ว ผู้ที่จะสามารถลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จำเป็นต้องเป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด มีอายุอย่างน้อย 35 ปี และจะต้องพำนักอยู่ในสหรัฐฯ ติดต่อมานานอย่างน้อย 14 ปี รวมทั้งไม่เคยเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ติดต่อกัน 2 สมัย

ฟังดูเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผ่านมาเกือบทุกคน นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 เป็นต้นมา บรรดาผู้ที่มาลงสมัครชิงประธานาธิบดี ล้วนแต่เคยเป็นผู้ว่าการรัฐ, วุฒิสมาชิก, นายพล 5 ดาว หรือเป็นบุคคลที่สื่อมวลชนสนใจติดตามความเคลื่อนไหวกันแทบทั้งนั้น โดยบีบีซี รายงานว่า บนเวทีหาเสียงแห่งหนึ่งในการเลือกตั้ง ปี 2016 ปรากฏว่า มีผู้ลงสมัครชิงประธานาธิบดี ประกอบไปด้วย ผู้ว่าการรัฐ หรืออดีตผู้ว่าการรัฐถึง 10 คน และอีก 10 คน กำลังเป็น หรือเคยเป็นวุฒิสมาชิกมาก่อน ซึ่งหนึ่งในนี้ จะได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนของ พรรครีพับลิกัน และ พรรคเดโมแครต ในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ


* คุณสมบัติของประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง

– เป็นพลเมืองหรือสัญชาติอเมริกันเท่านั้น
– มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
– อาศัยอยู่ในท้องถิ่นเป็นระยะเวลาพอสมควร โดยเมื่อปี ค.ศ. 1973 ศาลสูงสหรัฐฯ ได้แก้ไขให้ผู้มีสิทธิออกเสียงต้องมีถิ่นที่อยู่อาศัยในเขตเลือกตั้งนั้น เป็นเวลา 50 วัน
– ต้องไปลงทะเบียนแสดงเจตจำนงออกเสียงเลือกตั้งภายในเวลาที่แต่ละรัฐกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่คือ 54 วันก่อนวันเลือกตั้ง ณ หน่วยเลือกตั้งของตน
– แต่ละมลรัฐจะกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นของตัวเอง


* กรำศึกเลือกตั้งขั้นต้น จนได้เป็นตัวแทนพรรค ชิง ปธน.คนใหม่

โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฮิลลารี คลินตัน เป็นสองผู้สมัครที่สามารถฝ่าฟันเอาชนะบรรดาผู้สมัครคนอื่นๆ ในพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งขั้นต้นของรัฐต่างๆ ทั้ง 50 รัฐ ซึ่งได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 จนทั้งคู่ได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งมากกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ ที่ทยอยถอนตัวบนหนทางกรำศึกเลือกตั้งขั้นต้น

ทรัมป์ มหาเศรษฐีจากนิวยอร์ก วัย 70 และฮิลลารี อดีต รมว.ต่างประเทศ วัย 69 ปี ได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการในระหว่างการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ให้เเป็นตัวแทนของทั้งสองพรรค ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ

ต่อมา โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฮิลลารี คลินตัน ได้ประกาศชื่อคู่หูชิงรองประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ โดย ทรัมป์ เลือก นายไมค์ เพนซ์ ผู้ว่าการรัฐอินเดียนา เป็นคู่หูชิงประธานาธิบดี ส่วน ฮิลลารี เลือก นายทิม เคน วุฒิสมาชิกจากรัฐเวอร์จิเนีย


กลุ่มผู้หญิงชุมนุมรณรงค์ อย่าเลือกทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ที่หน้า ‘ทรัมป์ ทาวเวอร์’ ในนครนิวยอร์ก เมื่อ 26 ต.ค.

* ‘บาดแผลใหญ่’ ของสองผู้สมัครชิงผู้นำอเมริกา

บีบีซี ชี้ว่า มีเสียงวิพากษ์ถาโถมใส่ทรัมป์ นักธุรกิจมหาเศรษฐีจากนิวยอร์กอย่างมากมาย นับตั้งแต่เขาเริ่มรณรงค์หาเสียง ไม่ว่าจะการให้คำจำกัดความของผู้อพยพเข้าเมืองชาวเม็กซิโก ว่าเป็นพวก ‘ข่มขืน และอาชญากร’ ไปจนถึงการกล่าวเชิงถากถางไปถึงผู้พิพากษา นางงามจักรวาล ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องฟอกซ์ นิวส์ รวมถึงครอบครัวของชาวอเมริกันมุสลิม ที่ต้องสูญเสียลูกชายในสงครามอิรัก

แต่เรื่องที่กลายเป็น ‘ระเบิด’ ลูกใหญ่เล่นงานทรัมป์หนักสุดในเวลานี้ คือกรณี เทปวิดีโอฉาวที่เขาเคยพูดจาในเชิงดูถูกเหยียดหยามผู้หญิง ในรายการ ‘Access Hollywood’ เมื่อปี 2548 หลุดออกมาสู่สาธารณชน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม เพียง 2 วันก่อนจะถึงศึกดีเบต โต้วาทีประชันวิสัยทัศน์กับฮิลลารี รอบ 2 จนเรื่องนี้ ทำให้คะแนนนิยมของทรัมป์ตกลง อีกทั้ง ยังมีบรรดาแกนนำระดับสูงของพรรครีพับลิกัน รวมทั้ง นายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ถอนตัวจากการสนับสนุนเขาให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ส่วน ‘บาดแผล’ ของ ฮิลลารี ที่โดนทรัมป์โจมตี เรื่องหนึ่งคือการที่ นางฮิลลารี ได้ลบอีเมลส่วนตัวกว่า 30,000 ฉบับทิ้ง ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา สมัยแรก ซึ่งฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งคำถามว่า อีเมลส่วนตัวเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับเงินบริจาคจากต่างชาติให้กับมูลนิธิคลินตันก็เป็นได้


โหวต ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า

* ทรัมป์ เร่งกู้คะแนน แถลงนโยบาย 100 วันแรก ถ้าได้เป็นประธานาธิบดี

‘วอยซ์ ออฟ อเมริกา’ รายงานว่า ทรัมป์ เสนอแผนงานที่ต้องทำใน 100 วันแรก หากเขาได้รับเลือกเป็นผู้นำคนใหม่ของอเมริกา ในระหว่างการหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย อย่างเช่น การลดภาษีสำหรับชนชั้นกลาง ร้อยละ 35 และนโยบายป้องกันการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยทรัมป์บอกว่าถ้าได้เป็นประธานาธิบดี จะตั้งโทษจำคุกอย่างน้อย 2 ปี สำหรับผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และโทษจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 5 ปี หากผู้ต้องสงสัยเคยกระทำผิดในคดีอื่นๆ จากนั้นผู้ลักลอบเข้าเมืองจะถูกส่งตัวกลับประเทศต้นทาง

ทรัมป์ ยังบอกอีกว่า หากเขาได้เป็นผู้นำคนใหม่ของอเมริกา จะหยุดจ่ายเงินสนับสนุนสหประชาชาติในโครงการบรรเทาปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติ แต่จะเพิ่มการลงทุนในโครงการน้ำและสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ แทน

นอกจากนั้นแล้ว ทรัมป์ยังกล่าวว่าเขาจะฟ้องผู้หญิงหลายคนที่กล่าวหาว่าเขาเคยลวนลาม ละเมิดทางเพศ โดยชี้ว่า ผู้หญิงเหล่านั้นพูดโกหกทั้งสิ้น

*CNN เผยเม็ดเงินมหาศาล ที่ 2 ผู้สมัครใช้ทุ่มหาเสียง

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เปิดเผยจำนวนเงินสำหรับใช้หาเสียงระหว่างทรัมป์กับฮิลลารี จนถึงวันที่ 30 กันยายน 59 ว่า ฮิลลารี ใช้เงินไปแล้ว 400.5 ล้านดอลลาร์ จากเงินที่ให้การสนับสนุนเข้ามา 449.7 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ ทรัมป์ ใช้เงินหาเสียงน้อยกว่าฮิลลารีมาก อยู่ที่ 189.6 ล้านดอลลาร์ จากเงินที่ได้เข้ามา 171.57 ล้านดอลลาร์


*ผลโพล ออกมา ฮิลลารี นำเหนือ ทรัมป์ ตลอด

ผลโพลจากหลายสำนักที่สำรวจความเห็นของชาวอเมริกัน ก่อนถึงวันเลือกตั้งออกมาว่า ฮิลลารี เป็นฝ่ายมีคะแนนนิยมเหนือกว่าทรัมป์มาโดยตลอด ทิ้งห่างอยู่ประมาณ 5-6 จุด แต่ทรัมป์คงหนักใจมากขึ้น เมื่อได้เห็นผลโพลของ ABC News ที่ออกมาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา หลังจากจบศึกดีเบต โต้วาทีประชันวิสัยทัศน์ ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายระหว่าง นางฮิลลารี คลินตัน กับ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อค่ำคืนของวันที่ 19 ตุลาคม (ตามเวลาท้องถิ่น) หรือตรงกับเช้าวันที่ 20 ตุลาคม ของไทย

ปรากฏว่า คะแนนนิยมของ ฮิลลารี ทิ้งห่าง โดนัลด์ ทรัมป์ มากถึง 12 จุด โดยฮิลลารีได้คะแนนนิยมแตะระดับ 50% ส่วนทรัมป์ ลดลงไปเหลือแค่ 38% เท่านั้น ขณะที่ นายแกรี่ จอห์นสัน ตัวแทนจากพรรคเสรีนิยม ลิเบอทาเรียน ได้ 5% และนายจิลล์ สตีนจากพรรคกรีน ได้ 2%

ผลโพลดังกล่าวออกมาหลังจากจบศึกดีเบต โต้วาทีประชันวิสัยทัศน์ ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายระหว่าง นางฮิลลารี คลินตัน กับ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อค่ำคืนของวันที่ 19 ตุลาคม (ตามเวลาท้องถิ่น) หรือตรงกับเช้าวันที่ 20 ตุลาคม ของไทย

ขณะที่ ผลโพลสำรวจของ CNN/ORG สอบถามผู้มีสิทธิเลือกตั้งระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม ออกมาว่า ฮิลลารี ยังคงเป็นฝ่ายนำทิ้งห่าง ทรัมป์ 5% อยู่ที่คะแนนร้อยละ 49 ต่อ 44 ขณะที่มีคะแนนเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดอยู่ที่ +/- 3.5%


* ผลโพลชี้ ฮิลลารี กำลังได้เปรียบ



‘วอยซ์ ออฟ อเมริกา’ รายงาน อ้าง RealClear Politics เว็บไซต์เกาะติดข่าวการเมืองและการเลือกตั้งประธานาธิบดีว่า นางฮิลลารี ได้เปรียบ ทรัมป์ อยู่ในขณะนี้ โดยสำหรับรัฐที่สามารถเห็นภาพชัด นางคลินตันน่าจะเก็บคะแนนคณะผู้เลือกตั้งได้ 262 เหลืออีกเพียง 8 เสียงก็จะได้เป็นผู้กำชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้หญิงยังสนับสนุนฮิลลารี มากกว่า มีคะแนนนำห่างทรัมป์ถึงร้อยละ 20 จากการทำแบบสำรวจโดย ABC

แต่สำหรับ ทรัมป์ ความเป็นไปได้ขณะนี้คือเขาน่าจะได้ 164 เสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง นั่นหมายความว่ายังห่างจากคะแนนสำหรับการอ้างชัยชนะ ที่ต้องทำให้ได้เพิ่มอีก 106 เพื่อให้ถึงเส้นชัย 270 เสียง

เรียกว่า จากแนวโน้มทุกอย่างในเวลานี้ บ่งชี้ว่า ฮิลลารี มีโอกาสมากกว่าที่จะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกัน ก็คงต้องเผื่อใจกับสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความพลิกผันในช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนถึงเลือกตั้ง ที่บางทีจะช่วยหนุนนำ ส่งผลให้ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งเป็นผู้นำคนใหม่ก็เป็นได้.

 

Leave a comment