ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/241978
นายแพทย์วรัท ทรรศนะวิภาส
องค์การอนามัยโรค (WHO) รายงานว่า โรคกระดูกพรุน เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่มีความสำคัญต่อประชากรผู้สูงอายุมากที่สุด โดยเพศหญิงจะมีโอกาสกระดูกหักจากโรคนี้มากถึง 30-40% ขณะเดียวกันเพศชายจะมีโอกาสเพียงแค่ 13% เท่านั้น ขณะที่แพทย์ด้านโรคข้อและกระดูก โรงพยาบาลพระรามเก้า เตือนโรคกระดูกพรุนเป็น “ภัยมฤตยูเงียบ” ที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออายุ 65 ปี ทั้งชายและหญิงจะก้าวเข้าสู่ภาวะกระดูกพรุน หรือผู้หญิงหลังจากหมดประจำเดือนไปแล้ว 5 ปี มักเป็นโรคกระดูกพรุนได้มากกว่าผู้ชาย
นายแพทย์วรัท ทรรศนะวิภาส แพทย์ด้านโรคข้อและกระดูก โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า โรคกระดูกพรุน เป็นโรคที่มีลักษณะมวลกระดูกต่ำนำไปสู่การสึกกร่อนโครงสร้างระดับจุลภาคของเนื้อเยื่อของกระดูกที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกเปราะและหักง่ายจากอุบัติเหตุแค่เพียงเบาๆ โรคนี้พบมากที่สุดในผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60-80 ปี และ 2 ใน 3 ที่มีอายุมากกว่า 80 ปี โดยภาวะกระดูกพรุนในระยะแรกมักจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาให้เห็นแต่จะมีเพียงแค่ความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่ายเท่านั้น ส่วนที่พบการหักได้บ่อย คือ แขน สะโพก ไหล่ กระดูกสันหลัง และข้อมือ การหักของกระดูกสันหลังอาจไม่มีอาการปวดในระยะแรก แต่อาจทำให้ความสูงลดลง และมีอาการปวดตามมา รวมถึงเกิดภาวะทุพพลภาพได้ ผลกระทบจากกระดูกสะโพกหัก ผู้ป่วยจะไม่สามารถเดินได้ต้องนอนบนเตียงเป็นเวลานาน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ รวมไปถึงผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลในระยะยาวและมีแนวโน้มในการเสียชีวิต
“โรคกระดูกพรุนเป็นภัยมฤตยูเงียบ ที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาทีจะมีการทำลายกระดูก ช่วงวัยหนุ่มสาวนั้นการสร้างกับการทำลายจะเท่าๆ กัน แต่เมื่ออายุมากขึ้นตัวทำลายก็จะมีมากกว่าตัวสร้าง ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน จะทำให้กระดูกสันหลังค่อมและหัก ร่างกายจะเตี้ยลง และเมื่อเกิดอุบัติเหตุกระดูกก็จะหักได้ง่าย ที่สำคัญคือจะมีอาการปวดหลังอย่างมาก ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนอย่างแรกเลย คือเชื้อชาติเราพบว่าคนผิวขาวเป็นมากกว่าคนในแถบเอเชีย แต่คนเอเชียจะพบได้มากกว่าคนผิวดำ

ส่วนเรื่องพันธุกรรมนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ตัวอย่าง เมื่อแม่เป็น ลูกเป็น แม่เคยกระดูกหัก ลูกก็จะกระดูกหัก ในเรื่องของอายุนั้นมีผลเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอนเมื่ออายุ 65 ปีจะก้าวเข้าสู่ภาวะกระดูกพรุน หรือผู้หญิงหลังจากหมดประจำเดือนไปแล้ว 5 ปี ผู้หญิงมักเป็นโรคกระดูกพรุนได้มากกว่าผู้ชาย พบในคนผอมเป็นมากกว่าคนอ้วน เพราะว่าไขมันมีเอสโตเจนช่วยซ่อมแซมกระดูกพรุน เช่นเดียวกับผู้หญิงที่ตัดมดลูกรังไข่ เมื่อถูกตัดก็ไม่มีเอสโตรเจนหรือเป็นโรคต่อมไทรอยด์ เป็นโรคพุ่มพวง หรือพวกโรคไตเรื้อรัง นอกจากนี้ ยาก็มีผลต่อโรคกระดูกพรุนได้เช่นกัน ยาสเตอรอยด์ (steroid) ทุกชนิด ยาขับปัสสาวะ ยากันชัก เป็นต้น”
นายแพทย์วรัท กล่าวอีกว่า วิธีการป้องกันโรคกระดูกพรุน คือการเร่งสร้างและสะสมมวลกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยเด็ก ให้คำแนะนำในการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้รับปริมาณที่เหมาะสมโดยเฉพาะกลุ่มผักใบเขียว กินแคลเซียมและวิตามินดี เช่น นมเป็นสารอาหารที่ให้แคลเซียม เด็กๆ ควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว (500 ซีซี.) จนถึงวัยหนุ่มสาว เพื่อเพิ่มมวลกระดูกให้สะสมมาก ควรออกกำลังกายเพียงพอและสม่ำเสมอ หยุดสูบบุหรี่ ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และปรึกษาหาคำแนะนำเพิ่มเติมในการป้องกันจากแพทย์ ผู้ใหญ่ควรได้รับแคลเซียม วันละ 800-1,000 มก. หากเป็นหญิงวัยหมดประจำเดือนควรได้รับแคลเซียม วันละ 1,500-2,000 มก. และสำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรได้รับแคลเซียมวันละ 800-1,000 มก. นั่นหมายถึงวัยผู้ใหญ่กินนมประมาณ 500 มิลลิลิตรต่อวัน หากกลัวอ้วนอาจเปลี่ยนเป็นนมพร่องมันเนยหรือเนย แต่หากแพ้นมวัวสามารถใช้นมถั่วเหลืองแทนได้ โดยรับประทานในปริมาณที่มากขึ้นเพราะนมถั่วเหลืองมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัว สำหรับกรณีที่ไม่สามารถรับประทานได้ ควรเลือกกินอาหารที่มีแคลเซียมมาก เช่น ปลาตัวเล็ก กุ้งแห้ง ผักใบเขียว
นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายเพื่อช่วยให้กระดูกแข็งแรงอีกทางเลือกหนึ่ง ยิ่งเราออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้สม่ำเสมอมากเท่าไหร่ กล้ามเนื้อจะเป็นตัวช่วยอย่างดีในการกระชับข้อต่อและกระดูกต่างๆ ให้แข็งแรงควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเน้นเรื่องออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสม อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที ทำให้ได้วันเว้นวัน หรือสัปดาห์ละ 3 วัน ผู้สูงอายุผู้ที่มีกระดูกบางหรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ก็สามารถออกกำลังกายได้เช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ ควรรับวิตามินดีให้พอเพียง เพราะวิตามินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและนำแคลเซียมไปสร้างกระดูก ร่างกายควรได้รับแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ประมาณ 10-15 นาที เพราะผิวหนังก็สามารถสร้างวิตามินดีจากแสงแดดได้เช่นกัน
