ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/238047
วันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

หลังจากที่นักร้องสาวขาแดนซ์ “เดบาร่าห์ ซี” หรือ เด็บบี้ บาซู ออกมาประกาศว่าจะควงแขนสามี “เดวิด สเตลี” เข้าสู่ประตูวิวาห์ในเดือนตุลาคมนี้ แต่จู่ๆ เด็บบี้ ก็ออกมาเซอร์ไพรส์แฟนๆ อีกครั้งโดยเผยว่ากำลังตั้งครรภ์ลูกสาวตัวน้อยได้ 3 เดือนแล้ว สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้จึงขอนำทุกท่านร่วมย้อนวันวานความรัก และชีวิตของสาวเก่งคนนี้
“ตอนนี้ท้องได้ 3 เดือนแล้วค่ะ ได้ลูกสาว (ยิ้ม) ร่างกายแข็งแรงปลอดภัยดี ก็แอบเห่อเหมือนกันตั้งชื่อเล่นๆ ไว้บ้างแล้วแต่ว่ายังไม่ได้สรุป ส่วนงานแต่งที่วางแพลนไว้คงจะต้องเลื่อนไปก่อน เพราะว่าไม่อยากจะเครียดหรือว่ากังวลอะไร มันอาจจะมีผลกับลูก จริงๆ ไม่ได้ปิดบังอะไรนะคะ ตอนที่แถลงข่าวว่ากำลังจะแต่งงานนั้นคือยังไม่ทราบด้วยว่าท้องแล้ว เพราะตรวจมันก็ยังไม่ขึ้น ตอนที่ไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก็ยังไม่รู้ หนูยังดื่มไวน์ กระโดดน้ำเล่นสนุกสนานอยู่เลย พอมาทราบก็ตกใจเหมือนกันกลัวว่าน้องจะเป็นอะไรหรือเปล่า พอผ่านช่วง 3 เดือนแรกมาได้ก็หายห่วงค่ะ สามารถออกกำลังกายหรือว่าเต้นได้ปกติ แต่อาจจะเต้นหนักไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน เดวิดเขาก็ดีใจค่ะ ครอบครัวหนูก็ดีใจเห่อหลานเหมือนกัน”

สามีกับครอบครัวเรา
ครอบครัวหนูรักเอ็นดูเขานะคะ เวลาหนูไม่อยู่เขาก็สามารถอยู่กับครอบครัวเราได้ทั้งที่แอลเอและที่เมืองไทยกับคุณตา-คุณยายเรา เขาก็เข้ากับท่านได้ เขาเอาใจผู้ใหญ่เก่ง และคุณยายก็จะสอนเขาด้วย เขาดูแลหนูดีมากถึงขั้นว่าใส่รองเท้าถอดรองเท้าให้คอยพยุงตลอดเวลา ยิ่งพอรู้ว่าเรากำลังจะมีน้องนะคะ เขาก็ยิ่งเป็นห่วง เพราะว่าจริงๆ เราก็อยากจะมีมานานแล้ว พยายามมาประมาณ 8 เดือนแล้ว ด้วยอายุเราก็เยอะแล้วก็กลัวว่าจะมีลูกยาก พอมาติดก็รู้สึกดีใจและโชคดีที่ถ่ายละครใกล้ปิดกล้องแล้วไม่งั้นอาจจะลำบากค่ะ
เส้นทางความรัก
เจอกันตอนแรกหนูไม่ได้ชอบเขาเลยนะคะ เขาเป็นคนที่ตามจีบเราก่อนค่ะ และเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนหนูอีกที เจอกันที่เมืองไทยนี่แหละค่ะ จริงๆ เราก็ไม่ได้มีสเปกว่าจะต้องเป็นฝรั่ง (หัวเราะ) แต่ว่าพอรู้จักกันไปเขาเป็นคนที่เข้าใจเราและเอาเราอยู่ (เขาทราบไหมว่าเราเป็นนักร้องดัง ?)แรกๆ ก็ไม่ทราบค่ะ แต่ว่าพอคบกันไปเป็นเพื่อนกันไป เพื่อนๆ เราก็จะมีบอกเขา พอเขาเห็นผลงานของเรา เขาก็ชอบดูค่ะ เขาสนับสนุนในศิลปะทุกอย่างของเรา เขาก็แอบตกใจบ้างเวลาที่เพื่อนๆ เปิดภาพคอนเสิร์ตเก่าๆ ให้ดูแล้วมีแฟนๆ กรี๊ดเราแบบนี้
ความรู้สึกที่มีผู้ชายมาคุกเข่าขอแต่งงาน
เราคบกันได้ประมาณปีกว่า ก็รู้สึกว่าคนนี้น่าจะใช่สำหรับเราแล้วล่ะ พอตกลงเป็นแฟนกันแล้ว งานเขาก็ต้องย้ายกลับไปที่แอลเอหนูก็เลยต้องไปกับเขาด้วย แต่ก็คือไปๆ กลับๆ เพราะว่าเรายังรับงานที่นี่อยู่ วันที่เขาขอแต่งงานเซอร์ไพรส์สุดๆ ค่ะ (ยิ้มตาวาว) เพราะเขาบอกว่าจะมาอีกอาทิตย์นึงแต่อยู่ๆ เขาก็มาก่อน แล้วเพื่อนเราก็เหมือนจะรู้เห็นเป็นใจกับเขาคือหลอกพาเราไปบนดาดฟ้าคอนโด แล้วเขาก็โผล่มาดีดกีตาร์ร้องเพลงและคุกเข่าขอเราแต่งงาน เป็นเมเม้นท์ที่ไม่เคยคิดมาก่อนหนูเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยได้ซีเรียสกับเรื่องตรงนี้ ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ชายมาคุกเข่าขอแต่งงานแต่พอมีแล้วก็รู้สึกปลื้มค่ะที่เขาอุตส่าห์ตั้งใจทำเพื่อเรา

แพลนชีวิตหลังจากนี้
ก็ยังไม่ทิ้งวงการบันเทิงหรอกค่ะ จะยังคงบินกลับไปกลับมาระหว่างเมืองไทยกับอเมริกา จริงๆ หนูก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วนะคะ เพราะว่าคุณตาคุณยายก็อายุมากแล้ว หนูจะต้องกลับมาดูแลท่าน ถ้ามีงานตัวไหนที่เรารู้สึกว่ามันตรงกับตัวเราและในช่วงเวลานั้นเราพอที่จะไหวก็ยินดีรับค่ะยังไม่ทิ้งแน่นอนไปไหนไกลไม่ได้หรอกค่ะ งานที่ทำอยู่ในตอนนี้ก็คือมีถ่ายละครเรื่องเสน่หามายา ก่อนนี้มีโปรเจกท์ dance with guru สอนเต้นในยูทูบที่ทำร่วมกับพี่ผี ไฮแจ็ค เป็นกูรูด้านการเต้นหลายๆ คน มารวมกันและทำวีดีโอลงยูทูบ เวลามีอะไรพี่ผีก็จะโทร.มาปรึกษาเหมือนกัน แต่พอมีน้องก็เลยจะพักไป หลังจากนี้ก็คือจะรอให้ละครปิดกล้อง แล้วก็จะบินกลับไปที่แอลเอเพื่อรอน้องคลอดค่ะ เรื่องงานแต่งงานคงต้องเลื่อนไปหลังคลอดเลยค่ะ
ความผูกพันกับวงบาซู
สำหรับพี่โจอี้ พี่กำปั้นก็เหมือนพี่น้องกันเลยค่ะ เพราะว่าหนูเป็นคนไม่มีพี่น้องโตมาเป็นลูกคนเดียว เลยเหมือนว่าเรามีพี่ชาย 2 คนที่คอยดูแล มีพี่ชายคนโตและพี่ชายคนกลางแต่บางทีพี่ชายคนโต พี่โจ ก็จะเหมือนเด็กน้อยเลยค่ะ (หัวเราะ) แม้ว่าเราจะไม่มีวงบาซูแล้วแต่ว่าความผูกพันของเรา 3 คนพี่น้องก็ยังอยู่ ยังมีพบปะพูดคุยทานข้าวกันเรื่อยๆ ล่าสุดก็เพิ่งเจอกันพาเบบี้ในท้องไปหาคุณลุง(หัวเราะ) พาหลานสาวไปอวดลุงๆ ค่ะ พี่กำปั้นบอกว่าอยากจะมีครอบครัวนานแล้ว แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีเลย ดูสิคะน้องแซงหน้าไปก่อนแล้วตามให้ทันนะคะลุงปั้น
ย้อนวันวานก่อนจะมาเป็นศิลปินกลุ่มแดนซ์ขวัญใจวัยทีนยุค 90
เด็บบี้เป็นเด็กเนิร์สค่ะ เรียนหนังสือใส่แว่นบ้างถอดบ้างแต่ว่าก็จะเดินถือหนังสือตลอดเวลา ค่อนข้างเป็นหนอนหนังสือ ชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ชีวะ เคมี อะไรแบบนี้ แต่ว่าเป็นเด็กที่ชอบร้องเพลงมาก ชอบการแสดง จนกระทั่งวันนึงเพื่อนของคุณแม่เขามาได้ยินเพลงที่เราร้องและอัดเสียงไว้ ก็เลยส่งเข้าไปที่อาร์เอส เราก็เลยโดนเรียกเข้าไปแคส ก็เข้าไปแบบเนิร์สๆ ของเรานี่แหละค่ะ (แนวเพลงที่ชอบ ?) สมัยก่อนจะร้องเพลงแนว Classical เป็นแนวละครเวที ซึ่งเป็นคนละแบบกับที่เราออกเทปเลย เฮียเป็นคนเคาะเลยว่าอยากให้มาเป็นนักร้อง หนูก็ไม่รู้ว่าเฮียเขาเห็นแววเรายังไงนะคะ แต่คือส่งไปไม่นานนะเขาก็เรียกให้เข้ามาร้องเพลงเลย ตอนแรกที่มาอัดเสียงหนูร้องไห้เลย เพราะว่าร้องไม่ได้ ตกใจตื่นไมค์ และด้วยตัวเพลงมันต่างจากที่เราเคยร้องเราก็ต้องปรับเสียงฝึกฝนใหม่ แต่ว่าก็ใช้เวลาไม่นานเลยค่ะไม่ถึงเดือนก็ได้ออกเทปเลย ได้ไปเจอกับพี่โจอี้ พี่กำปั้น เรียกว่าเราก็เป็นน้องเด็กสุดในกลุ่ม พี่โจอี้อายุห่างกันหลายปีเลยค่ะ เกือบ 15 ปี ส่วนพี่กำปั้นประมาณ 5 ปี ช่วงแรกก็เครียดเหมือนกันเพราะว่าเป็นงานที่ยากจะต้องทั้งร้องทั้งเต้น เรื่องการเต้นพี่โจอี้จะมีพื้นฐานมาก่อนเขาก็จะช่วยกันคิดกับเพื่อนอีกคนนึง แล้วก็จะมีพี่ ผี ไฮแจ็ค เข้ามาจัดให้ทุกอย่างลงตัวในเวลาอันรวดเร็ว เป็นการออกเทปแบบสายฟ้าแล่บ

รับมือกับความปังในฐานะนักร้องอย่างไร
เป็นอะไรที่แปลกนะคะ เพราะว่าเราไม่เคยคิดว่าเราจะมายืนตรงจุดนี้ แต่ว่าเราก็ทำตัวปกติเหมือนเดิม เวลาทำงานก็เต็มที่ เวลาไปเรียนก็คือเรียน เพียงแต่ว่าจะมีน้องๆ ที่เข้ามาทักทายคอยให้กำลังใจมีคนรู้จักเรามากขึ้น จนกระทั่งมีงานเข้ามาเยอะๆ ก็เลยจำเป็นต้องดร็อปเรียน เพราะว่ามันไม่ไหวจริงๆ เด็บบี้เป็นคนที่ชอบการแสดงอยู่แล้วค่ะ ชอบบันเทิง เต้น ร้อง ก็เลยรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่ไม่ได้ขัดอะไรกับตัวเราก็ทำไปเรื่อยๆ ในแต่ละอัลบั้มเพลงที่ออกมาเราก็มีส่วนร่วมในการเสนอไอเดีย ร่วมเขียนเนื้อร้อง การ Improvise ส่วนใหญ่จะเขียนเนื้อร้องที่เป็นภาษาอังกฤษ และมีคิดออกแบบท่าเต้น Choreography พอเราได้ทำไปเรื่อยๆ เราก็จะมีการคิดต่อยอดไปเรื่อยๆ
เพลงที่ประทับใจ
ชอบเพลง “โธ่เอ๊ย” เพราะว่าด้วยดนตรีที่เป็นการผสมผสานกับดนตรีไทย ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกและไม่เคยมีใครทำมาก่อน ตอนนั้นคือถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆ และเนื้อร้องก็โดนด้วย ส่วนเพลง “เพียงจำไว้” จังหวะมันจะโยกๆ ค่ะสนุกและมีความเป็นเร็กเก้
หวนสู่จอแก้วอีกครั้ง
กลับมาเล่นละครอีกครั้งในรอบ 7 ปีเลยค่ะที่ไม่ได้เล่นละคร อย่างเรื่องเสน่หามายา ที่มาเล่นเรื่องนี้ได้ก็ต้องขอบคุณ “พี่ต้น-นุษาร ทรรศนะพายัค” ซึ่งเราเจอกันตอนไปออกรายการน้องรักนักร้อง พี่เขาก็เลยติดต่อมาและชวนให้มาเล่นเรื่องนี้ ตอนแรกก็แอบคิดหนักเหมือนกัน เพราะว่าเราอยู่เมืองนอกด้วยจะยังไงดี จะบินกลับไปกลับมาเพื่อถ่ายละครยังไง แต่ว่าพอมาอ่านบทและตัวละครแล้วรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ท้าทายเรามากไม่เคยเล่นร้ายมาก่อน ชอบบทเป็นบทที่ร้ายลึกจอมวางแผนออกแนวโรคจิตด้วยค่ะ เพราะนางจะมโนไปเองว่าพระเอกชอบเรา ต้องมีถึงเนื้อถึงตัว “พี่เคลลี่” และต้องมีปะทะกับ “พี่แอน-สิเรียม” การบ้านหนักเลยค่ะ เพราะว่าพี่แอนสวยมากแล้วสายตาจิกนี่คือมาเต็มๆ น้องตกใจค่ะ และแอบเกรงใจฐานะผู้จัดของพี่แอน (หัวเราะ) แต่จริงๆ เราก็เล่นต้องสู้ให้เต็มที่ค่ะ แล้วยิ่งพอรู้ว่ากำลังมีน้องก็ยิ่งต้องระวังตัวเป็นพี่เศษ พี่ๆในกองถ่ายก็ช่วยเซฟให้ กลัวพลาดเพราะว่ามันค่อนข้างโหดพอสมควรคือจะต้องมีตบตีผลักกันเอาน้ำสาด ยิ่งช่วงหลังๆก็จะยิ่งดุเด็ดกันมากขึ้นเลยจะเล่นให้แรงทางอารมณ์มากกว่า

เตรียมใจรับกระแสกับบทบาทนี้
เตรียมเลยค่ะนี่ “น้องเหมียว” ผู้จัดการที่ดูแลเด็บบี้ เขาก็เตรียมหมวกกับน็อกเอาไว้แล้วค่ะ เผื่อว่าเปลือกทุเรียนจะมาแถวนี้ แต่ไม่เป็นไรค่ะหนูเต้นได้เดี๋ยวเต้นหลบเอา (หัวเราะ) คือมันเป็นเรื่องสมมุตินะคะถ้าเราทำออกมาแล้วคนดูเกลียดได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จ แต่เชื่อว่าหลายคนจะเข้าใจค่ะว่ามันเป็นการแสดง เพราะตัวจริงเป็นคนนิสัยดีมาก
บทบาทการเป็นอาจารย์
ได้มีโอกาสไปเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียวค่ะ สอนเด็กปี 3- ปี 4 ซึ่งตอนนี้เขาก็จบกันไปหมดแล้วล่ะ แต่ว่าก็ยังมีติดต่อคุยไลน์ทักทายกันบ้าง บางคนก็ตามอินสตาแกรม ตามเฟส เพราะว่าช่วงนี้หยุดสอนแล้วคือไม่ค่อยมีเวลา และต้องไปต่างประเทศบ่อยๆ ก็ยังไม่ทราบว่าจะได้กลับไปสอนอีกหรือเปล่า ตอนที่เป็นอาจารย์สนุกมากนะคะ จะมีแบบให้เราเห็นให้ดูตลอดลูกศิษย์น่ารักทุกคนค่ะไม่มีก้าวร้าวเลยเพียงแต่ว่าจะหยอกล้อกัน เราก็ไม่ค่อยถือสาเท่าไหร่ สิ่งที่ได้จากการเป็นอาจารย์ สิ่งที่ได้ก็คงจะเป็นการศึกษา ปกติเราเป็นนักเรียนเราก็จะรับมาโดยตลอด แต่ว่าพอเราได้มาเป็นอาจารย์เราก็เป็นฝ่ายให้ และเวลาที่จะให้เราก็จะต้องมีวิธีการถ่ายทอด เพราะฉะนั้นเราจะได้ในส่วนของการสื่อสาร และเป็นการสื่อสารที่คนละรูปแบบกับการร้องเพลงและเล่นละครได้ประสบการณ์จากตรงนี้มาประมาณ 2 ปีกว่าค่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเป็นอาจารย์ หรือว่าไปสอนใคร แต่พอมีโอกาสได้ลองทำก็รู้สึกแฮปปี้เป็นอะไรที่สนุกเป็นประสบการณ์ที่ดี

สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุด
ก็คงจะเป็นบาซูนี่แหละค่ะ ภูมิใจในความเป็นทีมของเราเพราะหนูรู้สึกว่าเราเป็นทีมที่ไม่เหมือนใครมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่สูงมากๆ แล้วเราไม่ใช่เป็นทีมที่ต่อหน้าสื่อแต่เบื้องหลังเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เราเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานแต่คือครอบครัวและพี่น้องหนูถือว่าเราโชคดีด้วยค่ะที่เราเกิดมาในยุคที่เป็น Golden Age ของดนตรี จริงๆ ช่วงของเราก็เกือบจะปลายๆ ท้ายๆ แล้ว เพราะก่อนหน้าเราก็มี “ทาทา” “ลิฟท์-ออย” “แร็พเตอร์”ศิลปินที่ออกมาในตอนนั้นคำว่าศิลปินมีความศักดิ์สิทธิ์มาก มันคือการที่เราเป็นตัวจริงเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ว่าทุกวันนี้หนูว่าวงการดนตรีมันอาจจะซบเซาลงไปนิดนึง ซึ่งมันก็คือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ และด้วยอะไรหลายๆ อย่างด้วยเทคโนโลยีความที่ทุกวันนี้ศิลปินออกมาเยอะมากจนกระทั่งคนบริโภคเลือกไม่ถูกว่าจะฟังอะไรดี เวลาไปไหนแล้วได้ยินเพลงบาซูจะรู้สึกแอบปลื้มเป็นธรรมดาเพราะว่าหลายๆ เพลงในยุคนั้นมันมีความเป็นอมตะอยู่ ก็ฝากขอบคุณแฟนๆ บาซูแฟนๆ เด็บบี้นะคะที่คอยให้กำลังใจกันมาตั้งแต่นานมากๆ คอยทั้งเป็นกำลังใจและเฝ้าดูผลงานและทั้งชีวิตส่วนตัวของเราด้วย เราก็รู้สึกว่าเหมือนโตมาด้วยกัน ขอบคุณที่รักกันนานๆ ถ้ามีโอกาสบาซูคงจะได้กลับมารวมตัวกันสร้างสรรค์ผลงานให้ทุกคนได้ฟังกันอีก เพราะว่าพวกเราไม่ไปไหนแน่นอน ก่อนหน้านี้ก็มีคุยกันไว้บ้าง แต่ว่าตอนนี้คงจะต้องพักไว้ก่อนขอไปมีน้องสร้างครอบครัวสักพักนะคะ แล้วกลับมาเจอกัน ในส่วนของคอนเสิร์ตใหญ่ก็น่าจะมีโอกาสได้เจอกันค่ะ
คำว่าครอบครัวสำหรับเด็บบี้ กำลังจะสมบูรณ์แบบในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และไม่แน่ว่าอาจจะมีเด็กหญิงตัวน้อยๆที่รักในการเต้นมาประดับวงการในอนาคตก็เป็นไปได้



