ปลดล็อคส่งเนื้อไก่ให้โสมขาวรอบ12ปี ปศุสัตว์เฝ้าระวังยาปฎิชีวนะค้างในเนื้อสัตว์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/245278

วันศุกร์ ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 13.50 น.

18 พ.ย. 59 นายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์ได้ร่วมกับผู้ประกอบการภาคปศุสัตว์ พัฒนาอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการสร้างอาหารปลอดภัยตลอดกระบวนการผลิต ตั้งแต่การเลี้ยงสัตว์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์ม (GAP) ซึ่งเน้นการป้องกันโรคโดยใช้มาตรการระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ ลดการใช้ยาหรือสารเคมีในฟาร์ม มีข้อกำหนดให้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ต้องมีสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์ม เป็นผู้ดูแลด้านสุขภาพสัตว์และควบคุมการใช้ยาในสัตว์เท่าที่จำเป็นและต้องมีระยะหยุดการใช้ยาและสารเคมีต่างๆ ก่อนการส่งสัตว์เข้าโรงฆ่าสัตว์ตามมาตรฐานสากลเพื่อไม่ให้มีการตกค้างในเนื้อสัตว์ ส่วนในขั้นตอนการฆ่าชำแหละ ต้องฆ่าชำแหละในโรงฆ่าสัตว์ที่ถูกกฎหมายและได้สุขอนามัยที่ดี มีพนักงานตรวจโรคสัตว์ทำหน้าที่ตรวจสอบสัตว์ก่อนการฆ่าและตรวจเนื้อสัตว์หลังการฆ่าชำแหละ จึงจะรับรองให้นำเนื้อสัตว์ออกจำหน่ายได้ ซึ่งการดูแลตลอดห่วงโซ่การผลิตของกรมปศุสัตว์อย่างจริงจังทำให้เนื้อสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อสัตว์ปีก มีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก สามารถส่งออกเนื้อสัตว์ปีกไปจำหน่ายต่างประเทศ เช่น EU ญี่ปุ่น ฯลฯ โดยล่าสุดเกาหลีใต้อนุญาตนำเข้าเนื้อไก่ดิบจากไทยแล้ว จากที่โดนบล็อคการนำเข้าเนื้อไก่ดิบแช่แข็งจากไทยมา 12 ปีจากกรณีโรคไข้หวัดนก หลังจากเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมาหน่วยงานจากรัฐบาลเกาหลีใต้ เดินทางมาตรวจโรงงานเชือดและโรงแปรรูปผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจำนวน 12 โรงงาน เพื่อเป็นตัวแทนสำหรับ 53 โรงงานทั่วประเทศ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 8 ขั้นตอนสุดท้ายก่อนอนุมัตินำเข้า ซึ่งก่อนหน้านี้เกาหลีใต้นำเข้าไก่สดแช่เย็นแข็ง และแช่แข็งจากไทยเฉลี่ย 3-4 หมื่นตันต่อปี หากสามารถดึงลูกค้าเดิมที่เคยซื้อสินค้าไทยได้ คาดว่าประเทศไทยจะสามารถส่งเนื้อไก่สดแช่แข็งไปสาธารณรัฐเกาหลีได้ไม่น้อยกว่า 3-4 หมื่นตันต่อปี มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท

“กรมปศุสัตว์มุ่งพัฒนาการผลิตเนื้อสัตว์ที่มีมาตรฐานเพื่อยกระดับมาตรฐานให้สูงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการควบคุม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังยาหรือสารตกค้างในเนื้อสัตว์อย่างเข้มงวด มีมาตรการลงโทษตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องหากมีการตรวจพบ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่าได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ปลอดภัยจากสารตกค้างและสามารถสอบย้อนกลับถึงแหล่งผลิตได้”อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวและกล่าวเพิ่มเติมว่า

“จากการดำเนินการอย่างเคร่งครัดและการบูรณาการดำเนินการร่วมกัน ที่เน้นระบบความปลอดภัยทางชีวภาพของฟาร์ม ส่งผลให้การใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มเลี้ยงสัตว์มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ปัญหาและนโยบายของประเทศในการแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างเป็นระบบ และแสดงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการร่วมกันแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพกับนานาประเทศทั่วโลก ภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) ทั้งสุขภาพมนุษย์ สุขภาพสัตว์ และสุขภาพสิ่งแวดล้อม   เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศ”

นายสัตวแพทย์อภัย กล่าวอีกว่า กรมปศุสัตว์ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าทำงานในเชิงบูรณาการ ด้วยการจัดทำ “แผนปฏิบัติการการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๔” ตลอดจนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม “ป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๔” ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อการป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยา และกำกับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมในภาคอุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง ขณะเดียวกัน ยังมีการดำเนินโครงการร่วมกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งประชาชาติ (FAO) ในการวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงของเชื้อดื้อยาในการผลิตสินค้าปศุสัตว์ และมีการจัดอบรม Regional Training Workshop on Antimicrobial Resistance (AMR) Responding to the Global Challenge of AMR Threats: Toward a One Health Approach ร่วมกับสหภาพยุโรป (EU) และ FAO ในประเทศไทยระหว่างวันที่15-18 พฤศจิกายน 2559 เพื่อควบคุมปัญหาเชื้อดื้อยาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตามแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียวของโลก (One World, One Health)

Leave a comment