ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/243188
สองศิลปินและนักแสดงหนุ่ม แดน-วรเวช และ บีม-กวี ยอมรับว่ารู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจมากๆ ในความเป็นคนไทย ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในละครเทิดพระเกียรติ เรื่อง “เราเกิดในรัชกาลที่ 9” ละครพิเศษที่จัดทำขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เผยเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ตอบแทนในหลวงเป็นครั้งสุดท้าย แม้ทั้งคู่จะไม่เคยได้ถวายงานหน้าพระพักตร์พระองค์ท่าน ซึ่งด้าน “แดน-วรเวช” เผย ได้แต่งเพลงเกี่ยวกับคำสอนของพ่อหลวงเอาไว้แล้ว ส่วน “บีม-กวี” ขอยึดพระองค์ท่านเป็นต้นแบบในการทำงานและการดำเนินชีวิต!!
รู้สึกยังไงบ้างที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในละครเทิดพระเกียรติเรื่องนี้ ?
แดน “มันคือสิ่งที่เรารู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจในความเป็นคนไทย อยากซื้อซีรี่ส์ที่บอกว่าเราเกิดในรัชกาลที่ 9 นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เราสองคนจะทำได้ ซึ่งเราก็จะทำให้เต็มที่”
บีม “จริงๆ เป็นโอกาสที่ดี ที่ผมจะได้ตอบแทนในหลวงเป็นครั้งสุดท้ายครับ แล้วผมก็ต้องขอบคุณผู้กำกับและทีมงานที่ให้โอกาสเราสองคนได้มาร่วมงานในครั้งนี้ คนเขียนบทก็เก่งมากสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ จนกระทั่งมาถึงวันที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตได้ เราก็อยากให้ทุกคนได้ติดตามดูครับ”
แดน “ชื่อของตอนของเรามีอยู่ว่า บ้านของพ่อ เราตั้งใจที่จะถ่ายทอดออกมาให้คนไทยได้รู้ว่านี่คือคำสอนของพ่อ ที่ท่านคอยบอกคอยสอนพวกเราอยู่เสมอว่าให้พวกเรารักกันเกิดเป็นคนไทยด้วยกันอย่าทะเลาะกัน ซึ่งในเรื่องเราสองคนจะต้องเล่นเป็นพี่น้องที่ทะเลาะกันบ่อยๆ บางทีเรื่องที่ทะเลาะกันมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยแต่เราก็ยังทะเลาะ”
บีม “ผมคิดว่าเรื่องนี้ดีเพราะสามารถตีความสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ อย่างตอนนี้ที่คนไทยทะเลาะกัน เราก็อยากให้ดูว่าสองคนนี้จะทำอย่างไรต่อไปในวันที่ไม่มีพ่ออยู่ในบ้านแล้ว”
วันที่ทราบข่าวว่าพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตเราสองคนทำอะไรอยู่ ?
แดน “วันที่ทราบข่าวผมกำลังจะเดินทางไปซ้อมคอนเสิร์ตครับ ตอนนั้นอยู่ในลานจอดรถ ก็เลยรีบขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันคิดอะไรไม่ออก ทุกอย่างมันเศร้าไปหมด เศร้ามากๆ ครับ”
บีม “ตอนนั้นผมอยู่ที่บ้านครับ จำได้เลยว่าวันนั้นวุ่นวายมาก มันมีข่าวลือออกมาเยอะแยะมากมายไปหมด คือมีคนบอกมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วแต่ผมก็ยังไม่เชื่อ จนช่วงเวลา6 โมง ผมก็เริ่มที่จะแน่ใจแต่ก็พยายามโทร.หาคนที่รู้จัก เพราะผมรู้ว่าแฟนผมต้องเสียใจมากๆ ตอนนั้นผมก็เลยต้องรีบโทร.บอกให้เขากลับบ้าน เพราะผมไม่อยากให้เขาต้องขับรถคนเดียว ซึ่งพอเค้ากลับถึงบ้านปุ๊บก็มีแถลงการณ์ออกมา จากนั้นเขาก็เดินเข้ามากอดผมแล้วร้องไห้เราสองคนร้องไห้ไปด้วยกัน มันเป็นบรรยากาศที่แปลกมากๆ ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตจะมีแบบนี้ แต่ผมก็บอกกับคนรอบข้างว่า ชีวิตต้องเดินต่อไป ผมคิดว่าสิ่งที่เราทำได้ก็คือการบอกเล่าเรื่องราวให้คนในยุคถัดไปได้รับรู้ ว่าเราเคยมีพระเจ้าอยู่หัวที่ดีขนาดไหน จริงๆ ผมเองก็เสียใจมากที่มีลูกไม่ทันเกิดในยุคนี้ แต่ไม่เป็นไรเรายังสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้เพราะยังมีคลิปวีดีโอต่างๆ ที่สามารถบอกเล่าพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ซึ่งผมก็พยายามเก็บไว้ให้ได้มากที่สุด”
เราสองคนเคยมีโอกาสได้ถวายงานหน้าพระพักตร์พระองค์ท่านบ้างหรือเปล่า ?
บีม “ไม่เคยครับ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมเสียใจมากๆ ที่ไม่มีโอกาส แต่อย่างน้อยเราทั้งสองคนก็เคยร้องเพลงพระราชนิพนธ์ให้พ่อเพียงแต่ไม่ใช่ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ท่าน”
สำหรับแดนเรามีแผนที่จะแต่งเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างไหม ?
แดน “จริงๆ ผมก็ได้แต่งเพลงกับพี่เอ๊ะ ละอองฟอง ไว้ครับ ซึ่งเพลงนี้ผมเป็นคนร้อง โดยเนื้อเพลงมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การใช้ชีวิตหลังจากนี้ที่มีคำสอนของพ่อเพราะช่วงนี้ทุกคนต้องผ่านช่วงเวลาที่ต้องเศร้าโศกเสียใจ เราต้องพูดถึงเรื่องอนาคตด้วยว่าอนาคตเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรซึ่งจุดเริ่มต้นอย่างแรกเราต้องเน้นเรื่องความรักความสามัคคี เพราะวันนี้พ่อไม่อยู่แล้วเราต้องอยู่คอยเตือนซึ่งกันและกัน”
พระองค์ท่านเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตของเราสองคนยังไงบ้าง ?
บีม “เรื่องการทำงานหนักและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคครับ ท่านมีความคิดความอ่านที่ดีที่ทำให้สังคมเราดี โดยที่ท่านไม่เคยเอาแต่ตัวเองท่านจะคิดถึงแต่ส่วนรวม ซึ่งมันเป็นหลักยึดถือที่ดีครับ อย่างผมเป็นนักดนตรี และพอได้เห็นพระองค์ท่าน มีพระอัจฉริยภาพในด้านนี้ด้วย ผมเชื่อว่าท่านทำได้ทุกอย่าง ซึ่งจุดตรงนี้แหละที่ทำให้เรายึดและนึกถึงท่านอยู่เสมอ”