ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/243334
ในฐานะพสกนิกรที่เกิดในแผ่นดินของ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” นักแสดงอาวุโส “รอง เค้ามูลคดี”เผยด้วยความปีติและซาบซึ้งในพระมาหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ พร้อมเล่าถึงช่วงเวลาที่สุดจะกลั้นน้ำตา เมื่อครั้งที่ได้เข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับภาพที่เห็นอย่างเจนตา
ต้องบอกผมเกิดในแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ 9 พอดีเลย คือเกิดปี 2490 พอเริ่มโต 7-8 ขวบ ก็เห็นพระองค์ท่านทรงงานแล้ว เราเป็นนักเรียน เขาก็จะให้ไปชมภาพยนตร์ส่วนพระองค์ที่โรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง เราก็ได้เห็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมากมาย ก็รู้สึกว่าโอ้โห ท่านทำได้ขนาดนี้เลยหรือ คือรู้สึกทึ่งและชื่นชมในพระบารมีของท่านมาก แล้วยิ่งต่อมาเราโตขึ้นบางวันทำงานเรารู้สึกว่าอยากพัก แต่พอเรานึกถึงพระองค์ท่านไม่เคยได้พักเลย เราเลยมีความคิดว่าท่านคือเทพที่ลงมาจุติให้บำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาราษฎรจริงๆ เราไม่เคยได้ยินเลยว่าท่านท้อท่านเหนื่อย แต่เมื่อท่านคิดจะทำอะไรแล้ว ท่านจะต้องทำให้สำเร็จ เพื่อลูกๆ ของท่านนั่นก็คือประชาชนของพระองค์ (ครอบครัวปลูกฝังอย่างไร ?) สิ่งนี้ไม่ต้องปลูกฝังเลยครับ เราซึมซับเอง เราเห็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายทุกคนรักเทิดทูนในหลวงมาก และจากที่เราได้ดูภาพยนตร์ส่วนพระองค์ เราก็นึกแล้วว่าท่านเก่งเหลือเกิน เราไม่ได้เศษเสี้ยวหนึ่งธุลีพระบาทเลย ความที่ท่านอดทนไม่ย่อท้อ ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชน อย่างบางพื้นที่เช่นบนเขาบนดอยที่ชาวเขาปลูกฝิ่น คนก็ติดฝิ่นสูบฝิ่นตัวเหลืองกัน พระองค์ท่านก็คิดค้นวิธีว่าจะทำอย่างไรให้เขาเลิกปลูกฝิ่น ทรงบุกน้ำลุยป่านำลูกท้อพันธุ์ที่ดีไปให้ปลูก แทนการปลูกฝิ่น รวมทั้งพืชอื่นๆ ทั้งที่จริงๆ พระองค์ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องไปเองก็ได้ ท่านสั่งก็ได้ แต่ไม่เลย ทุกอย่างที่ท่านทำจะต้องลงไปดูด้วยตัวเอง ว่าสำเร็จไหม เขาอยู่กันได้ไหม แล้วก็พยายามเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปบอก และอีกหนึ่งพระราชดำริที่รู้สึกทึ่งมากก็คือโครงการช่างหัวมัน ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นปลูกอะไรก็พัง แต่พระองค์ท่านคิดหาวิธีปรับดินจนสามารถทำเกษตรกรรมสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้ แต่ตำหนักที่ทรงงานของพระองค์ท่าน กลับเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง ข้างล่างจอดรถเก่าๆ นาฬิกาของพระองค์ท่านเรือนละไม่กี่ร้อยบาท ท่านเป็นตัวอย่างให้เราทั้งหมด แล้วเราจะมาดิ้นรนกันทำไม โดยเฉพาะอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่น่ากลัวมาก ใครจะการันตีได้ว่าคุณจะมีงานตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นคุณต้องพอเพียง ต้องยึดพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน

ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯชื่นชมพระบารมีอยู่เนืองๆ
ผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่านอยู่หลายครั้งมาก ที่พระราชวังสวนจิตรลดาก็ไม่รู้กี่ครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมน้ำตาไหลเลย วันนั้นผมเข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายเงินร้านดารากาชาด ซึ่งเขาสลับกันเป็นประธาน ปีนั้นเราเป็นประธาน บรรยากาศในวันนั้นคือทุกคนก็เข้าแถวกันหมดมีตัวแทนจากหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้มากมายพอสมควร แล้วพอใกล้เวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯออกเจ้าหน้าที่ก็มาแจ้งว่าให้ “คุณปทุมวดี” ทำหน้าที่นางสองพระโอษฐ์ คุณทุมยืนตาค้างช็อกไปเลย คือเราเข้าไปทูลเกล้าฯท่านก็ประทับยืน คุณทุมนั่งอยู่ติดพระองค์ท่านเลย เราก็นึกเลยว่าคุณทุมจะถือได้ไหมพานของชำร่วยที่ท่านจะประทานให้กับทุกคน แล้วเชื่อไหมครับว่ายืนตั้งแถวกันเนี่ย ได้ยินกันทั้งห้องเลย พานมันดัง คุณทุมนั่งมือสั่นเสียงพานกระทบกับของชำร่วย น้ำตาก็ไหลด้วยความปีติ เราก็ถือว่านี่คือความเป็นสิริมงคลของทั้งคุณทุมเอง ผมและรวมไปถึงครอบครัวด้วย เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ชาตินี้ชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว หยิบภาพถ่ายภาพนี้ขึ้นมาดูทีไร น้ำตาไหลทุกครั้ง (น้ำตาคลอเบ้า) เจ้าหน้าที่ที่ส่งรูปนี้มาให้เราได้บอกกับคุณทุมว่า เก็บรูปนี้ไว้ให้ดีนะ เพราะว่ายังไม่เคยมีใครที่สามีเข้าไปทูลเกล้าฯถวาย แล้วภรรยานั่งข้างพระองค์ ส่งของให้พระองค์ท่าน แล้วถ่ายทีเดียวติดทั้งสามีภรรยา พอหลังจากที่พระองค์ท่านประชวร เราก็ไม่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯถวายงานแล้ว แต่ว่าทุกครั้งที่ไปไหนก็ตามแต่ที่ลงนามถวายพระพร ผมเขียนหมด เดินเข้าห้างเราก็พนมมือไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่าน แล้วก็นั่งเขียน อย่างตอนนี้ก็ยังเขียนอยู่ ขนาดว่าเมื่อวานเพิ่งจะเขียนไป วันนี้ไปก็เขียนอีก คือที่โรงพยาบาลที่เราไปเยี่ยมคุณทุม เขาก็จะมีสมุดไว้ให้ลงนามแสดงความไว้อาลัย เราก็เขียนมาสองวันติดกัน ยามก็มองเลยว่าจะเขียนอะไรทุกวัน แต่คือไม่รู้นะเราอยากจะถวายท่าน
ห้วงเวลาปานดวงใจจะขาด
คือเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม เป็นการนัดหมายล่วงหน้ากันมาเป็นเดือนแล้วว่าเช้าวันนั้นผมจะต้องไปอ่านพระราชประวัติของพระองค์ท่านเป็นสารคดีตั้งแต่พระองค์ท่านเริ่มประสูติ จนกระทั่งครองราชย์และมาถึงปัจจุบัน บ่ายโมงกว่าก็เริ่มได้รับข่าว แต่เราก็อ่านไปเรื่อยๆ บ่ายสองกว่าเพื่อนก็แจ้งข่าวมา แต่เราก็ไม่เชื่อ ก็อ่านสารคดีทำหน้าที่ของเราไปเรื่อย กะว่างานจะต้องเสร็จสี่โมงเย็น ปรากฏว่าพอเขาออกแถลงการณ์งานที่จะเสร็จสี่โมง สามทุ่มถึงเสร็จ อ่านไปร้องไห้ไป(น้ำตาคลอ) ทุกวันนี้แค่นั่งอยู่แล้วนึกถึงพระองค์ท่านภาพที่เห็นพระองค์ท่านกับสมเด็จพระราชินี ท่านหวานมาก คือขอพูดแบบภาษาชาวบ้านนะครับผมขออนุญาต ชาวบ้านยังทำไม่ได้แบบนี้ ท่านหอมแก้มกัน ดูแล้วเรารู้สึกซาบซึ้งเหลือเกิน ผมถือว่าครั้งนี้เป็นการอ่านสารคดีที่ทรมานใจที่สุด แต่เราก็ยินดีจะทำ เมื่อวานซืนยังขอเขาไปแก้ในบางช่วง เพราะรู้ว่าเสียงเราสั่น
สิ่งที่น้อมถวายในฐานะนักแสดง
ผมมีโอกาสได้แสดงละครเฉลิมพระเกียรติเพื่อถวายพระองค์ท่านอยู่หลายครั้งมาก คือเขาก็จะนำพระราชดำริแต่ละโครงการของพระองค์ท่านมาทำ แล้วเราก็ได้ไปแสดงเป็นตัวนำ รวมทั้งละครเพลงเฉลิมพระเกียรติ “ไกลกังวล มิวสิคัล ออน เดอะ บีช” ผมดีใจและภูมิใจมากที่ได้ร่วมแสดง เป็นละครที่สนุก มีสาระ เพลงเพราะ เหนือสิ่งอื่นใดคือทำให้ผมได้รู้จักความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่วันแรกที่ไปซ้อมเพลง บอกตามตรงว่าผมเครียดมาก ด้วยความที่ผมไม่ได้เป็นนักร้อง ร้องเพลงไม่เก่ง เลยทำให้รู้สึกว่ายากมาก ท้อและเกือบถอดใจ แต่พอผมนึกถึงภาพวังไกลกังวลเห็นภาพพระองค์ท่านแว่บเข้ามาเท่านั้นแหละ ผมรู้สึกมีพลังอย่างประหลาด จึงตัดสินใจสู้ ตั้งใจว่าจะแสดงและร้องเพลงอย่างสุดความสามารถ และล่าสุดเพิ่งจะได้รับการติดต่อมาจากทาง “คุณบอย-ถกลเกียรติ” ให้ไปร่วมแสดงในละครเทิดพระเกียรติ “เราเกิดในรัชกาลที่ ๙ เดอะ ซีรี่ส์”ซึ่งมี “โตโน่-ภาคิน” แสดงด้วย เราพร้อมที่จะแสดงถวายท่านโดยไม่คิดค่าตัวเลย ในเรื่องคือผมเล่นเป็น หลวงลุง จะต้องไปกล้อนผมด้วยซึ่งเรายอม เพราะว่าอยากทำอะไรก็ได้เพื่อถวายพระองค์ท่าน

ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ ชาวไทย
เราต้องมาคิดนะว่าที่เรามาอยู่สุขสบายกันทุกวันนี้ ทำไมน้ำถึงไม่ท่วมกันจะเป็นจะตาย ก็เพราะโครงการแก้มลิงของพระองค์ท่านถนนที่รถติด ท่านทรงพระประชวรต้องประทับที่โรงพยาบาลศิริราชแทนที่ท่านจะพัก แต่ท่านก็มายืนส่องกล้องดู และคิดหาวิธีแก้ปัญหา หลายๆ โครงการที่เป็นพระราชดำริของพระองค์ท่าน แล้วมีคนนำไปสานต่อ ท่านคือผู้ปิดทองหลังพระตัวจริง ไม่มีใครรู้ บางคนคิดว่านักการเมืองคนนั้นคนนี้เป็นคนสร้าง แต่หารู้ไม่ว่าพระองค์ท่านคือผู้ดำริ ชีวิตผมอยู่มาปีนี้ 70 ปีแล้ว เท่ากับที่พระองค์ท่านทรงครองราชย์ ถามว่าชีวิตเราเคยทุกข์ยากอะไรไหม ทุกคนมันก็ต้องมีบ้าง แต่ว่าช่วงเป็นสุขเยอะกว่าช่วงทุกข์ แล้วถามว่าเราสุขได้เพราะอะไร ก็เพราะเราเกิดในแผ่นดินของพระองค์ท่าน ตอบได้เต็มปากเลยว่าเราเป็นสุขได้ทุกวันนี้เพราะบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคุ้มครองป้องกันให้เราทุกอย่าง ท่านสร้างทุกอย่างให้ประชาชน สร้างแม้กระทั่งรายได้
น้อมนำหลักคำสอนมาปฏิบัติ
สิ่งที่ผมยึดคือเรื่องรู้รักสามัคคี ซึ่งจะยึดถือตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือผมไม่เคยทะเลาะกับใครนะ อยู่กับเพื่อนแบบไม่แบ่งแยกสีเสื้อว่าใครจะสีไหน แล้วเราก็กินเลี้ยงพูดคุยกันอย่างมีความสุข ผมบอกว่าผมอยู่ตรงไหนไม่ได้เพราะทุกฝั่งเพื่อนผมหมด อยู่ตรงกลางดีที่สุด และทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ทุกคนปรารถนาดีต่อประเทศชาติทั้งนั้น เพียงแต่อุดมการณ์มันผิดกัน แม้วันนี้จะไม่มีพ่อแล้ว เราก็เดินตามรอยพระองค์ท่าน แค่นี้ก็พอ ใครก็ตามในแผ่นดินไทยเดินตามรอยพระองค์ท่าน ตามพื้นดินของเรา ตามแนวพระราชดำรัสที่พระองค์ท่านบอกไว้ รับรองไม่อดตาย อย่างตัวผมเองทุกวันนี้ก็คือไม่มีอะไรมาก ไม่มีทางที่จะเจอผมตามที่เที่ยวต่างๆแน่นอน ชีวิตผมมีอยู่ที่กองถ่าย แล้วก็ไปเยี่ยมคุณทุมที่โรงพยาบาล ที่หรูหราไม่มีไม่เอา เมื่อก่อนอยู่บ้านหลังเก่าคนเข้า-ออก 24 ชั่วโมง ประตูบ้านไม่เคยปิด ข้าวไม่เคยขาดหม้อ มันก็ได้หนึ่งคือความรักสามัคคี แต่มันก็หมด ตอนหลังเลยมาคิดว่าเศรษฐกิจพอเพียงตามอย่างพระองค์ท่านนี่คือดีที่สุด เมื่อก่อนเราคิดแค่รู้รักสามัคคีให้ทุกคนมาเจอะเจอกัน แต่เราไม่ได้นึกถึงว่าเศรษฐกิจพอเพียง เพราะตอนนั้นมีความคิดว่าเดี๋ยวเราก็ต้องมีละคร มีอยู่วันหนึ่งนั่งสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิเสร็จ เราก็นั่งอยู่ในห้องพระ แล้วแว๊บขึ้นมาว่าทำไมเราถึงคิดแบบนั้น ทำไมเราไม่คิดถึงวันที่เราจะไม่มีงานบ้าง ก็เลยเปลี่ยนความคิดตั้งแต่วันนั้น จากนี้ไปฉันจะเลิกเที่ยวจะอยู่บ้าน ใครอยากเจอก็มาหาที่บ้านหรือถ้าอยากทานอะไรก็ไปร้านอาหาร เพราะที่บ้านไม่มีใคร มีแต่พี่เลี้ยงน้องพรีม ไม่เอาไม่ให้ใครเหนื่อย ไปร้านอาหารแต่รัศมีต้องแถวบ้าน ผมเป็นคนง่ายๆ ทานตรงไหนก็ได้ ข้างถนนก็ได้ ทุกวันนี้ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน แต่กินเพื่ออยู่

สิ่งที่สืบทอดมาถึงรุ่นหลาน
ทุกวันนี้น้องพรีมลูกสาวของยุ้ย (ปัทมวรรณเค้ามูลคดี) เวลาไปไหนเขาจะมีสมุดของเขาและเขียน “น้องพรีมรักในหลวง” ไม่มีใครสอนเขานะ ซึ่งเราก็มองว่าถ้าหากครอบครัวเป็นแบบอย่างที่ดี เด็กเขาจะซึมซับไปเรื่อยๆ แล้วเราค่อยอธิบายให้เขาฟังว่าทำไมคุณตารักในหลวง ทำไมคุณตารักพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ คนไทยโชคดีที่สุดในโลกแล้ว โชคดีที่เกิดมาเป็นคนไทย ตั้งแต่ปฐมบรมกษัตริย์ของเราที่เลือกตรงนี้เป็นเมือง ซึ่งประเทศอื่นเขาเจอภัยธรรมชาติมากมาย ประเทศเราก็เจอบ้างแต่ว่าหนักๆ ไม่มี น้ำท่วมก็มีบ้างซึ่งมันก็เกิดจากการเก็บกักน้ำที่เดี๋ยวมันก็แก้ไขได้
รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ
ผมได้รับรางวัลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่หลายรางวัลครับแต่ว่ายังไม่เคยได้มีโอกาสรับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน คือจะได้รับประทานจากองคมนตรีที่เป็นตัวแทนของพระองค์ท่าน รวมทั้งรางวัลพ่อดีเด่นแห่งชาติ รางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น 2 ปีซ้อน ทุกรางวัลเป็นที่ภาคภูมิใจมาก และผมภูมิใจในภาษาไทยที่เป็นภาษาประจำชาติของเรามาก เนื่องจากเป็นภาษาที่สละสลวย ก็อยากให้เด็กๆ หันมาใช้ภาษาไทยกันให้ถูกต้องเราต้องแข็งแรงในภาษาของเราก่อนส่วนภาษาอื่นก็เรียนรู้ได้ เป็นความสามารถของคุณแต่ไม่อยากให้ทิ้งภาษาไทย

ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป
คำนี้ที่เขาพูดกันขึ้นมาก็เนื่องจากว่า จะหาพระเจ้าแผ่นดินที่ไหนในโลกนี้ไม่มีอีกแล้ว พระเจ้าแผ่นดินที่ให้ฉันทุกอย่าง ให้ในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด พระองค์ก็ทรงพระราชทานมา ทุกอย่างประชาชนรับรู้ด้วยสามัญสำนึกว่าเพราะฉันอยู่อย่างสุขสบายได้ทุกวันนี้ก็เพราะพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้นฉันจะขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป เกิดชาติไหนขอให้ได้อยู่กับพระองค์ท่าน นี่คือความปลื้มปีติ ความรัก คือไม่มีประเทศไหนที่คนรักพระมหากษัตริย์เท่าประเทศไทย บางคนอาจจะบอกว่าไม่รักพ่อ ซึ่งจิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ขอให้รู้ว่าทุกวันนี้ที่เราอยู่สุขสบายเพราะว่าพระองค์ท่าน และพระองค์ท่านก็ไม่เคยบอกเลยว่าให้คนไทยทั้งชาติมารักพระองค์ท่าน (น้ำเสียงหนักแน่น) แต่พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสว่าให้คนไทยรักกัน แล้วทำไมเราไม่รักกัน ถามว่าทุกวันนี้พระองค์ท่านเคยไปทำร้ายใครไหม ไปทำให้ใครเดือดร้อนไหม คุณไม่รักพระองค์ท่านเพราะอะไร ถ้าคุณไม่รักท่าน คุณลองออกไปอยู่ประเทศอื่นสิว่าคุณจะสุขสบายแบบนี้ไหม ผมไม่ได้ไล่นะ เอาไว้ให้ลองออกไปอยู่ประเทศอื่นสักพักแล้วคุณมานั่งนึกดูว่าประเทศที่คุณไปอยู่ใหม่มันมีความสุขเท่ากับอยู่ประเทศที่คุณอยู่ตั้งแต่อ้อนแต่ออกไหม

กุหลาบสีเงิน