รายงานพิเศษ : แนวคิดการแก้ไขปัญหาข้าวและชาวนาอย่างยั่งยืน (3)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/246955

วันพุธ ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

3.เจ้าหน้าที่ส่งเสริมพัฒนาด้านข้าวมีน้อย ไม่พอเพียง

ปัญหานี้เป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับข้อ 2 ความจริงควรรวมกันได้ แต่ที่แยกมาพูดนี้ก็เพื่อที่จะเน้นถึงความสำคัญอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และต้องเยียวยาแก้ไข ไม่งั้นก็เข้าวงจรเดิมตามที่กล่าวไปบ้างแล้วหากจะให้มีการทำงานแบบเบ็ดเสร็จก็จะต้องเพิ่มกำลังพลตลอดสายภารกิจ ได้แก่ กำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ วิจัยพัฒนา ผลิตเมล็ดพันธุ์ การส่งเสริมสนับสนุน การพัฒนาชาวนา การพัฒนาแปรรูป และการพัฒนาการเก็บเกี่ยวและการตลาด รวมทั้งภารกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น งานเครื่องจักรเครื่องกลข้าว งานข้อมูลสถิติ การงานกฎหมายข้าวและสิทธิประโยชน์ต่างๆ งานประสานงานต่างประเทศ และแม้แต่งานด้านสังคมวัฒนธรรมข้าว อย่างเช่น กรมประมง และกรมปศุสัตว์

แต่กระนั้น เมื่อพูดถึงเรื่องจำนวนบุคลากร แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ไม่เห็นด้วยแน่นอน ยิ่งรัฐบาลยุคผ่านๆ มามีนโยบายชัดเจนที่จะลดกำลังคนภาครัฐลง เพราะมีปัญหาด้านงบประมาณ ข้อเสนอนี้จึงอาจเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อมาดูถึงอัตรากำลังข้าราชการในปัจจุบัน รวมทั้งบรรดาพนักงานราชการและลูกจ้าง พบว่ารัฐต้องเสียงบประมาณโดยเฉพาะอัตราจ้างเหมามากมหาศาลในแต่ละปี เพราะทุกหน่วยงานไม่สามารถเพิ่มกำลังได้ ก็เลี่ยงไปใช้วิธีจ้างเหมาแทน ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะแน่ใจว่า ในระยะยาวจะทำให้รัฐเสียงบประมาณน้อยลงเพราะไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จบำนาญรวมทั้งสวัสดิการต่างๆ แต่เมื่อดูถึงรายจ่ายปัจจุบัน อัตราการลดลงของงบด้านบุคลากรก็ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ถ้าอย่างนั้นก็นำเอารายจ่ายส่วนนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านข้าวที่ยังต้องการอีกมากจะได้ไหมครับ

อีกทางเลือกหนึ่งที่พูดไปแล้วอาจไม่ถูกใจผู้บริหารกรม แต่ก็จำเป็นต้องพูด และเชื่อว่าผู้ใหญ่ทุกท่านก็คงจะเห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนย่อย กล่าวคือ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เองปัจจุบันมีจำนวนบุคลากรที่เป็นข้าราชการรวม 37,523 คน แยกเป็นรายกรมดังนี้ (1) กรมส่งเสริมการเกษตร 9,851 คน (2) กรมชลประทาน 6,441 คน (3) กรมปศุสัตว์ 4,716 คน(4) กรมส่งเสริมสหกรณ์ 3,231 คน (5) กรมประมง 2,668 คน (6) กรมวิชาการเกษตร 2,247 คน (7) สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 2,010 คน (8) กรมพัฒนาที่ดิน 1,546 คน(9) สำนักงานปลัดกระทรวง 1,277 คน (10) กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 1,202 คน (11) กรมการข้าว 913 คน (12) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 657 คน (13) กรมหม่อนไหม 350 คน (14) กรมฝนหลวงและการบินเกษตร 204 คน (15) สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ 200 คน (หมายเหตุ ตัวเลขอาจคลาดเคลื่อนเล็กน้อย) จะเห็นได้ว่ากำลังคนที่อยู่ในกรมการข้าว มีเพียงน้อยนิด

อย่างไรก็ดี อาจมีคำถามติงว่า การเอาคนคนหนึ่งไปรับงานเพียงหนึ่งชิ้น(ข้าวอย่างเดียว) จะไม่เป็นการสิ้นเปลืองหรือ ขอตอบว่า ในเมืองไทยเห็นมีเยอะแยะที่หน่วยงานเอาคนไปทำอยู่เรื่องเดียว ในเมื่อข้าวมีความสำคัญยิ่งและชาวนาก็เป็นพลเมืองโดยส่วนใหญ่ ถ้ารัฐไม่เห็นความสำคัญ ปล่อยให้เป็นไปอย่างเดิม ก็เห็นปัญหากันอยู่ แล้วจะไปเสียดายอะไรอีกครับ แต่ถ้ายังห่วงว่าการแก้ไขปัญหาด้านข้าวจะทำให้สิ้นเปลือง งั้นก็ลองคิดเขย่าคนในกระทรวงเกษตรฯ สักหน่อยไม่ดีหรือครับ ไหนๆ ก็จะปฏิรูปทั้งที

4.โครงสร้างการบริหารจัดการเรื่องข้าวขาดการมีส่วนร่วม

ประเด็นนี้มุ่งเน้นปรับโครงสร้างทางด้านการบริหารและการตัดสินใจด้านข้าวของประเทศ ทฤษฎีที่ปล่อยให้กลไกตลาดเดินไปโดยอิสระตามธรรมชาติ เห็นแล้วว่าชาวนาไทยผลิตข้าวเกือบตาย แต่หาร่ำรวยไม่ คนที่รวยคือผู้รวบรวม แปรรูป และส่งออก ทั้งนี้เพราะชาวนาส่วนมากขาดอำนาจต่อรอง รัฐยังเข้าไม่ถึงในการช่วยเหลือเสริมพลังอำนาจชาวนาผู้ส่งออกและโรงสี เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของวงจรการค้าข้าวของประเทศ ตลาดไม่ได้เป็นของผู้ขาย ผมจึงเสนอให้มีผู้แทนชาวนาเข้าไปเป็นสมาชิกของคณะกรรมการเกี่ยวกับนโยบายข้าวแห่งชาติด้วย ให้มีสิทธิ์มีเสียงในการเสนอนโยบายเกี่ยวกับข้าวในทุกด้าน โดยที่รัฐต้องให้ความสำคัญ ข้อเสนอนี้ที่ผ่านมามีผู้ทักท้วงว่า ชาวนาอาจเสนอในสิ่งที่ไม่เข้าท่า ยังมีวิสัยทัศน์ที่แคบ ก็อาจเป็นอย่างที่ว่าอยู่บ้าง ผู้นำชาวนายุคก่อนๆ อาจจะติดยืดอยู่กับผลประโยชน์ที่ถูกยื่นให้ แต่ทุกวันนี้ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป และเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ผมเห็นนายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยให้สัมภาษณ์ตามสื่อ ไม่ว่าในเรื่องของการพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น การเก็บข้าวไว้ในมือชาวนาให้นานเพื่อรอราคา ชัดเจนในกระบวนการคิดว่าถ้าได้รับการร่วมมือจากพี่น้องชาวนาโดยทั่วไป การแก้ไขปัญหาชาวนาจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น

แนวทางที่ผมจะเสนอภายใต้ข้อนี้ ศึกษาจากแนวทางการบริหารจัดการยางพารา และปาล์มน้ำมันของมาเลเซีย รวมทั้งการบริหารจัดการอ้อย/น้ำตาลทราย และกาแฟของบราซิล คือเขาจะมีคณะกรรมการบริหาร (Board) และสภามนตรี (Council) สำหรับการกำหนดนโยบายและตัดสินใจในเรื่องต่างๆ สำหรับสินค้าเกษตรนั้นๆ โดยการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย องค์ประกอบของคณะกรรมการบริหาร และสภามนตรีก็แน่ละครับต้องมีชาวนา ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียทุกข้อของห่วงโซ่อุปทานและอุปสงค์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายราชการ โรงสี ผู้ซื้อรวบรวมข้าวผู้ส่งออก ผู้ทำข้าวถุง และผู้บริโภค และอื่นๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมด คณะกรรมการบริหารจะเป็นฝ่ายตัดสินใจ ส่วนสภามนตรีจะเป็นฝ่ายรวบรวมข้อมูลและเสนอความต้องการเบื้องต้น และเมื่อระบบเป็นอย่างนี้คณะกรรมการบริหารก็จะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และแน่นอนเมื่อเป็นองค์กรเบ็ดเสร็จ ผู้บริหารสูงสุดกระทรวงข้าว หรือชื่ออื่นเป็นฝ่ายเลขานุการ และรับผิดชอบนำนโยบายทุกเรื่องลงสู่การปฏิบัติอาศัยกำลังรบที่ได้รับการจัดสรรให้อย่างเต็มอัตราศึก

ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาข้างต้น เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาด้านข้าวส่วนหนึ่งตามความคิดของผม ก็อยากเสนอแนะไว้ด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างยิ่ง หากผู้กำหนดนโยบายเห็นประโยชน์ก็ขอได้โปรดนำไปพิจารณา ทั้งนี้แนวทางที่ว่าเป็นแต่เพียงหลักการกว้างๆ เท่านั้น ในทางปฏิบัติยังคงมีรายละเอียดอีกมากที่ต้องดำเนินการต่อไป ก่อนจบ อาจมีประเด็น แล้วหากจะมีคนถามว่า ถ้าทำงานข้าวเป็นองค์ใหญ่องค์กรเดียวได้ จะไม่มีคนคิดจะตั้งกรมกล้วย กรมเผือก กรมมันอีกหรือ (ความจริงยางพาราทำแล้ว คือ การยางแห่งประเทศไทย) ก็ขอยกคำอภิปรายในสภาของขุนวิเทศดรุณการ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี ในคราวประชุมเมื่อช่วงปี 2496 ระหว่างการเสนอตั้งกรมการข้าวยุคนั้นใจความว่า “ตามที่มีการท้วงติงว่า หากตั้งกรมการข้าวได้แล้ว คราวต่อไปอาจมีการเสนอตั้งกรมกล้วย กรมเผือก กรมมันเข้ามาอีก ข้าพเจ้าขอเรียนว่า อันว่าเรื่องข้าวนี้ สมัยก่อนเป็นถึงกระทรวง คือ เวียง วัง คลัง นา แต่พอมายุคหลังก็ไปยุบเขาเล็กลง การที่รัฐบาลเสนอขอตั้งเป็นกรมอีก ก็พิจารณากันดีแล้วถึงความสำคัญของข้าวสำหรับเมืองไทยว่าเป็นการสมควร หากแต่ต่อไปในภายภาคหน้า แม้นว่า กล้วย เผือก มัน มีความสำคัญเทียบเท่าข้าวแล้ว รัฐบาลก็คงปฏิเสธในความสำคัญไม่ได้ ที่จะจัดตั้งกรมกล้วย กรมเผือกตามที่ท้วงติง” ใช่ครับ ข้าวคือพืชคู่บ้าน ชาวนาคือคนคู่เมือง ใครไม่เห็น แต่ผมเห็น ก็ขอเรียกร้องทุกฝ่ายช่วยกันครับ

“ซี 10”

Leave a comment