ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/249114
วันอาทิตย์ ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ท่านเจ้าของสุนัขที่เคยพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์คงจะเคยได้ยินเรื่องการเอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ CT- scan หรือ MRI กันบ้างแล้วนะครับ
เทคนิคทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เราถือเป็น “การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพ” หรือที่เราเรียกว่า “Diagnosis imaging” ซึ่งเป็นวิธีทางห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยในการตรวจวินิจฉัยโรคเบื้องต้น ที่ได้รับความนิยมและเป็นประโยชน์อย่างมากในการหาสาเหตุความผิดปกติในสัตว์เลี้ยงครับ วันนี้ผมมีข้อมูลดีๆ จาก สพ.ญ.ชุติมน ธนบูรณ์นิพัทธ์หรือคุณหมอมน ซึ่งคุณหมอจบสัตวแพทยศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ1 ขณะนี้กำลังศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิตอยู่ที่คณะสัตวแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ
“การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพ” หรือที่เราเรียกว่า “Diagnosis imaging” ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ใช้ช่วยให้คุณหมอและเจ้าของสัตว์ได้ทราบถึงสาเหตุของความผิดปกติในเจ้าตูบหรือเจ้าเหมียว รวมถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ได้เช่นเดียวกับในคนครับ
ตัวอย่างการวินิจฉัยด้วยภาพที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้แก่ การเอกซเรย์(X-ray) และการอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) วันนี้เราจะมาดูถึงประโยชน์และข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการเอกซเรย์และการทำอัลตราซาวนด์กันครับ

การเอกซเรย์ (X-ray) เป็นวิธีที่มีประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย สัตว์ไม่ต้องวางยาสลบ หรืออดอาหารก่อนการตรวจวินิจฉัยก็ได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้สัตวแพทย์ประเมินรอยโรคหรือความผิดปกติเบื้องต้นของสัตว์ป่วยจากภาพได้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถวางแผนการรักษา และพยากรณ์โรคในเบื้องต้น ก่อนที่จะทำการตรวจวินิจฉัยในเชิงลึกต่อไป แต่เนื่องจากการเอกซเรย์นั้นมีข้อเสียบ้าง นั่นคือมีความไวในการตรวจจับรอยโรคที่ผิดปกติได้ไม่ดีนัก จึงเหมาะเป็นเพียง “การประเมินในเบื้องต้น” เท่านั้น
ตัวอย่างความผิดปกติที่ใช้สามารถตรวจโดยการเอกซเรย์ ได้แก่ การตรวจหาความผิดปกติทางโครงสร้างเบื้องต้นของช่องอกช่องท้อง กระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น มีกระดูกหักหรือไม่ มีของเหลว(น้ำหรือหนอง) ในช่องอกและช่องท้องหรือไม่ มีแก๊สในช่องอก(ปอดรั่ว) หรือไม่ พบก้อนผิดปกติในช่องท้องหรือช่องอกที่เป็นตำแหน่งของอวัยวะหรือไม่ อวัยวะในช่องท้องหรือช่องอกมีขนาดและรูปร่างผิดปกติหรือไม่ เป็นต้น
ในปัจจุบัน มีเทคนิคการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพชนิดอื่นๆ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้การวินิจฉัยโรคนั้นๆ มีความแม่นยำมากขึ้นเช่น การทำอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) CT-scan และ MRI เป็นต้น การเลือกใช้เทคนิคที่สูงขึ้นจะแล้วแต่ความจำเป็น ซึ่งอยู่ในดุลพินิจของสัตวแพทย์ครับ
การอัลตราซาวนด์ (Ultrasonography) เป็นวิธีวินิจฉัยด้วยภาพที่มีความไวมากขึ้นกว่าเอกซเรย์ เนื่องจากช่วยให้สัตวแพทย์สามารถประเมินรอยโรค และการทำงานของอวัยวะภายในช่องท้องต่างๆ ได้ละเอียดและสมบูรณ์มากขึ้น เช่น การทำงานของไตและตับเบื้องต้น
แต่การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีดังกล่าวนี้ สัตว์ที่จะทำการตรวจจะต้องมีการเตรียมตัวก่อนรับการตรวจคือ การอดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ภาพที่ได้จากการตรวจอัลตราซาวนด์มีความชัดเจน และประเมินเห็นรอยโรคได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเทคนิคอัลตราซาวนด์มีข้อจำกัดที่หากมีแก๊ส หรืออากาศจะทำให้ไม่สามารถมองเห็น และประเมินรอยโรคได้ อีกทั้งอาหารในทางเดินอาหารอาจบดบังอวัยวะที่ต้องการตรวจหรือทำให้แปรผลผิดพลาดไปจากความเป็นจริงได้ ดังนั้นหากต้องการตรวจประเมินโครงสร้าง และการทำงานเบื้องต้นของอวัยวะในช่องท้องเทคนิคนี้จึงเหมาะสมเป็นอย่างมากครับ ประโยชน์อย่างหนึ่งที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนและทำกันบ่อยในปัจจุบันคือ การตรวจเช็คการมีชีวิตอยู่ของลูกสัตว์ในท้องของแม่เนื่องจากการเอกซเรย์นั้น สามารถบอกจำนวนของลูกสัตว์ในท้องได้ก็จริงแต่ไม่สามารถทราบได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ การทำอัลตราซาวนด์สาวจึงเป็นประโยชน์มากขึ้นครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
