ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/252333
วันเสาร์ ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
Rookies สัปดาห์นี้ ขอพาหนุ่มนักแสดงเลือดใหม่วิกหมอชิต “เบน” สันติราษฎร์ กุลนพเกียรติ มาค้นทุกซอกทุกมุมความเป็น “เบน” ให้ได้รู้จักกัน
ความใฝ่ฝันเมื่อครั้งยังเด็ก
ฝันอยากจะเป็นตำรวจครับ เพราะว่าพ่อผมเป็นตำรวจก็เลยตั้งชื่อผมว่าสันติราษฎร์ นี่คือที่มาของชื่อจริงเลยครับ แล้วตอนเด็กๆก็จะไปไหนมาไหนกับพ่อตลอด ไปโรงพักไปเที่ยวเล่นประจำ และพ่อก็เป็นนักฟุตบอลเลยจะชอบพาผมไปเล่นกีฬาเล่นฟุตบอลด้วย ไปสนามยิงปืน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผู้ชายชอบทำกัน เราก็ทำตามพ่อมาตลอด แต่พอโตมาเรื่อยๆ ความฝันตรงนั้นก็ค่อยๆ เลือนไป แล้วบวกกับว่าพ่อมาเสียตอนที่ผมอยู่ประมาณ ม.1 เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากนั้นผมก็เรียนหนังสือไปปกติ พอเริ่มเข้าสู่ ม.ปลายเราก็เริ่มอยากจะเรียนทางด้านนิเทศศาสตร์ ไม่เชิงว่าเราอยากจะเข้าวงการนะครับ แต่คือสนใจงานเบื้องหลัง ก็เลยสอบเข้านิเทศน์ที่สวนดุสิต พอเข้าไปเรียนก็รู้สึกว่ามันสนุกดี และนอกจากนี้ก็ได้ประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย ก็ได้เป็นเดือนของมหาวิทยาลัยด้วย ถ้าถามว่าตอนนั้นเราป๊อปไหมก็ไม่แน่ใจ (หัวเราะ) แต่ว่าพอเราเป็นเดือนก็น่าจะพอมีคนรู้จักบ้าง แต่ก็เฉพาะในมหาวิทยาลัย
ฉายแววความเป็นดารา
หลังจากที่เรียนจบสักพักนึงผมก็เริ่มได้ทำงาน คือมีเดินแบบถ่ายหนังสือ ถ่ายโฆษณาบ้าง แล้วพอทำไปสักพักประมาณปีถึงสองปี ก็ได้มีโอกาสเข้าไปประกวด Asia New Star Model Face Of Thailand 2013 แล้วเราก็ชนะเลยได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดที่เกาหลี ซึ่งปีนั้นผมประกวดพร้อมกับ น้องแนท (อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์) ที่เกาหลีก็ได้รางวัลกลับมาเหมือนกัน เหมือนว่าผมจะมาสายนายแบบ หลังจากนั้นพี่เจนนี่ ที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมก็พาไปแคสละครที่ค่ายมงคลการละคร ของพี่เติ้ล (ตะวัน จารุจินดา) คือเขากำลังต้องการหานักแสดงมาเล่นเป็นมาเฟีย อยู่ในแก๊งพระเอกเรื่องกาลครั้งหนึ่ง…ในหัวใจ ซึ่งก็จะต้องเป็นแบบแมนๆ เท่ๆ ถอดเสื้อมีรอยสัก ต่อยเตะบู๊ได้ ซึ่งเราก็ผ่านและได้เล่นเรื่องนี้ (ไม่ได้เกี่ยวกับว่าหน้าตาที่บังเอิญคล้ายกับหนุ่มเติ้ล ?) อันนี้น่าจะเป็นผลพลอยได้ครับ (หัวเราะ) มีคนบอกเยอะมากว่าหน้าคล้ายกันมาก แต่พี่เติ้ลก็บอกมาเหมือนกันว่าตอนที่เขาเด็กเท่าผมน่ะ เขาหล่อกว่าผมเยอะ (หัวเราะ) ผมก็ยอมอยู่แล้วครับ แต่คือมีคนทักเยอะมากว่าเป็นญาติกับพี่เติ้ลหรือเปล่า ยิ่งตอนละครออกอากาศอยู่ในทีวี.หน้ายิ่งเหมือนกัน ผมดูเองก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าคล้ายพี่เติ้ลเหมือนกัน ยินดีมากครับที่หน้าคล้ายพี่เติ้ล

สัมผัสการแสดงครั้งแรก
รู้สึกว่าตื่นเต้นมากไม่รู้มุมกล้องเลย เพราะว่าเราไม่เคยเล่นมาก่อน นั่นคือประสบการณ์ใหม่ เดินแบบเราก็ชินแล้วล่ะไม่ว่าจะคนเยอะหรือว่าเวทีใหญ่ขนาดไหนเราก็ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่พอเป็นละครปุ๊บ เราไม่รู้มุมกล้องเราไม่รู้อะไรเลย ก็ตื่นเต้นมากแล้วพี่เติ้ลก็ช่วยได้เยอะมากเลยครับ แต่ตอนที่พอรู้ว่าจะได้เล่นละครผมก็ได้ไปเรียนการแสดงมาบ้างเป็นคอร์สสั้นๆ เพื่อเอามาใช้เหมือนเป็นพื้นฐานแล้วต้องบอกว่าโชคดีที่ในซีนแรกๆ ของการถ่ายทำพี่เติ้ลเขาวางบทให้ผมแบบเป็นซีนที่ยังไม่ได้เล่นอะไรมาก เหมือนกับว่าเขาให้เราได้ชินกับบรรยากาศในการถ่ายทำก่อนก็เลยไม่ค่อยมีบทพูด จะเหมือนพูดน้อยต่อยหนัก การเคลื่อนไหวให้มันดูเป็นธรรมชาติ แล้วพอเราชินกับการแสดงมากขึ้น บทหนักๆ ซีนอารมณ์ก็เริ่มเข้ามา ส่วนในเรื่องของการบู๊ผมเหมือนว่ามีพื้นฐานมาแล้วก็เลยไม่ต้องไปเรียนคิวบู๊ เราจับปืนเป็นแอ๊กติ้งได้
ความคาดหวังกับงานชิ้นใหม่
ผมไม่คิดเลยครับ ต้องบอกตามตรงเลยว่ามันได้ผลตอบรับกลับมาที่เกินคาดมากๆ เรียกว่าดังไกลไปถึงเมืองจีนเลย มีแฟนละครจากจีนเข้ามาเมนท์ในอินสตาร์แกรมเยอะมาก กรี๊ดกร๊าดแก๊งมังกรทอง ยกให้เราเป็น F4 (หัวเราะ) ขนาดนั้นเลยครับ ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นความรู้สึกที่ดีมาก เพราะว่าผลตอบรับกลับมามันเกินคาดจริงๆ ซึ่งตอนแรกที่มาแสดงเราไม่คิดว่ามันจะประสบความสำเร็จขนาดนั้น เราก็เล่นเต็มที่ในแต่ละซีนที่พี่เติ้ลกำกับมา บู๊บางวันถ่ายทั้งวันเลย แต่พอตัดต่อมาเหลือแค่นาทีเดียว ทุกคนก็ทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่ว่าเราก็เข้าใจ

ยอดฟอลโล่พุ่งกระฉูด
พุ่งเลยครับประมาณเป็นสิบเท่าเลยครับ คอมเมนท์ก็เพิ่มมาเป็นสิบเท่าเหมือนกัน โดยเฉพาะฉากที่ผมต้องตาย โอ้โห! มาเป็นร้อยเท่าพันเท่าเลยดีใจ ดีใจแทนพี่เติ้ล ดีใจแทนนักแสดงทุกคน ผมจึงถือว่าละครเรื่อง กาลครั้งหนึ่ง…ในหัวใจ เป็นละครที่แจ้งเกิดสำหรับผม พอหลังจากมีกระแสจากเรื่องนี้ทางช่อง 7 ก็ได้เรียกเข้าไปคุย และได้มีโอกาสเซ็นสัญญากับช่อง 7 มันเป็นความรู้สึกที่เกินความคาดหมายเลยครับ เพราะว่าอย่างที่บอกว่าตอนที่เล่นเรื่องกาลครั้งหนึ่ง…ในหัวใจ ผมยังไม่คิดเลยว่ามันจะมีกระแสตอบรับกลับมาดีขนาดนี้ และทำให้เราได้มีโอกาสทำในสิ่งที่เรารักต่อไป ผู้ใหญ่ได้เห็นในสิ่งที่เราทำและให้โอกาสสนับสนุนก็ดีใจ แล้วก็เหมือนเป็นจังหวะด้วยครับ ที่มีละครเข้ามาอีก ก็จะมีทั้งแนวบู๊และหนุ่มแสนดี อย่างในเรื่องโซ่เสน่หา จะเป็นแบบดราม่าหน่อยๆ เป็นผู้ช่วยนางเอกแล้วแอบรักเขา ส่วนเรื่องนักรบตาปีศาจ และ เล่ห์รักยาใจ ได้เล่นเป็นตำรวจทั้ง 2 เรื่องเลย อีกเรื่องคือมัสยา ที่ได้เล่นเป็นนักธุรกิจ เป็นเพื่อนซี้กับพระเอก ทุกเรื่องจะชอบนางเอกหมดเลย แล้วก็ไม่ได้สมหวัง เป็นหนุ่มที่เสียสละตลอด
แรงผลักดันที่สำคัญ
ผมได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวครับ คุณแม่ผมเขาเห่อบ้างนิดหน่อย อย่างตอนแรกที่ละครออนแอร์แล้วเราไปกินข้าวกัน มีคนมาถามว่าเราเล่นเรื่องนี้ใช่ไหม แต่ผมเองจะรู้สึกเขินๆ ก็ไม่กล้าตอบ แต่ว่าแม่จะตอบแทนไปแล้วว่าออใช่ค่ะอย่างนั้นอย่างนี้ แม่คือพยายามพรีเซ็นต์เราเหมือนกัน พอเราเห็นเขามีความสุขเราก็ดีใจครับ แต่จริงๆ แล้วผมอยากจะเป็นอะไรอยากจะทำงานด้านไหนแม่เขาก็จะไม่ค่อยมายุ่งจะให้เราตัดสินใจเองมากกว่า แต่ในอนาคตนอกจากการเป็นนักแสดงแล้ว ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไป เนื่องจากว่าผมเพิ่งเข้ามา ก็อยากจะทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อนอยากจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในอีก 3-4 ปี ก็คงจะมีทำธุรกิจกับครอบครัว คือเราก็มีแพลนคุยกันไว้บ้างกับแม่และพี่สาว แต่ว่าหลักๆ แม่ก็อยากให้ผมโฟกัสเรื่องการแสดงก่อน

เหมือนเป็นเสาหลักให้ครอบครัว
จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ คือผมมีพี่สาวคนนึง เราก็เหมือนจะช่วยๆ กัน เราเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านเราก็อยากจะเป็นเสาหลักเป็นแกนให้กับที่บ้าน แต่แม่กับพี่สาวเขาก็ไม่ได้อยากต้องการให้ผมเป็นหัวหน้า คือเขาก็มีความเป็นผู้ชายด้วยเหมือนกันเขาก็แข็งแกร่งพอสมควร แต่ใจผมเองก็อยากจะเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว
บ้านหลังใหญ่ที่อบอุ่น
วันแรกที่รู้ว่าได้เป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 7 และเราได้เซ็นสัญญานะ ผู้ใหญ่โอเคกับเรามาก ก็รู้สึกดีใจครับ คือช่อง 7 เป็นองค์กรใหญ่ เป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่ที่มีสมาชิกมากมาย มีพี่ๆ นักแสดงที่เราชื่นชอบและติดตามมากมายอยู่ในบ้านหลังนี้ วันนี้เราก็ได้มาอยู่ครอบครัวเดียวกับเขาแล้วนะ ก็รู้สึกดีใจและยินดีมากๆ ครับ
สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากละคร และขอให้ทุกคนติดตามช่อง 7ไปเรื่อยๆ จะได้เห็นผลงานการแสดงของผมทั้ง 4 เรื่อง และเรื่องอื่นๆตามมาอีกนะครับ อยากจะฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

