ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 18 ม.ค. 2560 05:30
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/838006

หากแต่…..Make American great again ภายใต้สารพัดนโยบายหาเสียง ของท่านผู้นำทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็น การพาสหรัฐอเมริกา ออกจากเขตการค้าเสรีต่างๆ (ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน ตัวเองเที่ยวชี้นิ้วพร่ำสอนให้ประเทศต่างๆ ต้องเปิดรับการค้าเสรีแท้ๆ) บีบบริษัทสัญชาติอเมริกากลับมาตั้งฐานการลงทุนในมาตุภูมิ สร้างกำแพงล้อมสหรัฐฯ ขับไล่-สกัด บรรดาผู้อพยพต่างชาติ ตัดขาดชาติพันธมิตรเรื่องงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งอาจเลยไปถึงขนาดให้ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ปกป้องตัวเอง! จากการคุกคามของพญามังกรจีน
ซึ่งนโยบายสุดระห่ำและไม่น่าจะเป็นไปได้ ตามวิสัยของผู้เจริญแล้ว แต่กลับ ถูกใจอเมริกันชน (เสียงส่วนใหญ่) จนกระทั่งถูกชาวโลก หรือ แม้กระทั่ง ลูกหลานประธานาธิบดีลินคอร์น (เสียงส่วนน้อย) จับจ้องมองด้วยสายตาคลางแคลงใจว่า เมื่อ American จะ great again ด้วยวิธีการสุดระห่ำดังที่ว่า ขึ้นมาจริงๆ โลกใบนี้จะเป็นอย่างไร?
ในวันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะได้เชื้อเชิญให้ รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย ผู้คร่ำหวอดการเมืองแดนลุงแซม ซึ่งได้เคยมาให้ความเห็นในสกู๊ป โดนัลด์ ทรัมป์ ทำเต็มร้อยโลกพินาศแน่ ค.ศ.2018 ปีชี้ชะตา ในคราวที่ ท่านผู้นำทรัมป์ สร้างบาดแผลทางการเมืองครั้งสำคัญให้แก่ นางฮิลลารี คลินตัน จนเป็นที่ถูกอกถูกใจ ของ แฟนๆไทยรัฐออนไลน์ อย่างล้นหลาม มาแล้ว

รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี ผอ.ศูนย์อาเซียนศึกษา ม.ธรรมศาสตร์
โดย รศ.ดร.ประภัสสร์ จะมานั่งสังเคราะห์กับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ในรายละเอียด ของ Make American great again ที่ว่ากันว่า จะทำให้ America กลายเป็น The ugly America again
เมื่อแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ พร้อมกันแล้ว ก็เชิญมานั่งล้อมวงฟังกันอย่างออกรสออกชาติ เลยดีกว่า!
วิเคราะห์ ครม. ภายใต้ ท่านผู้นำทรัมป์ สมัยแรก
รศ.ดร.ประภัสสร์ ครุ่นคิดสักครู่ด้วยสีหน้าหนักใจ ก่อนเอ่ยประโยคที่น่าชวนตกใจว่า “อันนี้ แหละที่น่าเป็นห่วง”
นั่นเป็นเพราะ….ครม.ชุดใหม่ ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ ซึ่งก็เหมือนกับเจ้าตัวเค้านั่นแหละ! ที่เป็น นักธุรกิจ แต่ไม่ประสีประสาทางการเมือง หรือ การทูต เอาเสียเลย ทำอะไรก็คิดแบบชั้นเดียว พูดง่ายๆ ก็คือ ….คิดตื้นๆ เหมือนชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป

ยกตัวอย่างเช่น กรณี ล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ ที่กองทัพจีน ยึดโดรน ของกองทัพสหรัฐฯ ได้ที่ น่านน้ำทะเลจีนใต้ พื้นที่ที่กำลังมีข้อพิพาทระหว่างหลายๆ ประเทศ โดยทันทีที่เป็นข่าว (ว่าที่) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 ยังไม่ทันได้ฟังอีร้าค่าอีรม ผู้ชำนิชำนาญการวิพากษ์วิจารณ์ ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะทวิตเตอร์ ก็ได้ทวีตข้อความ ที่เล่นเอารัฐบาลปักกิ่ง และผู้ที่กำลังจะเป็นอดีตประธานาธิบดี นายบารัค โอบามา สะดุ้งโหยง ด้วยข้อความที่ว่า
We should tell China that we don’t want the drone they stole back.- let them keep it!
สหรัฐฯ ควรบอกจีนว่าเราไม่ต้องการโดรนที่จีนขโมยไปกลับคืนมา

ทั้งๆ ที่ควรจะรอข้อมูลจาก สำนักงานข่าวกรอง หรือ กระทรวงการต่างประเทศ รายงานข้อมูลของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะแสดงความเห็นใดๆ แท้ๆ! เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มีความละเอียดอ่อนสูงในเชิงการเมืองระหว่างประเทศ เพราะมันเกิดขึ้นในพื้นที่ ที่กำลังมีกรณีพิพาท
ซึ่งท่าที แบบนี้ มันแสดงถึงอะไร? มันก็แสดงว่า ….มันน่าจะอันตรายจริงๆ ทั้งๆ ที่คิดอะไรตื้นเขินแบบนั้น ยังจะไม่ชอบฟังความเห็นของใครเขาเสียด้วย ไม่ฟังความเห็นอีกด้าน จากกระทรวงการต่างประเทศ หรือ สำนักงานข่าวกรอง
แบบนี้แหละที่ “อันตรายเอามากๆ” สำหรับ ประเทศแบบสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ (ว่าที่) 2 รัฐมนตรี ที่ถูกเลือกให้มานั่งตำแหน่งสำคัญ ที่จะมีผลอย่างยิ่ง ต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
“อาการน่าเป็นห่วงเอามากๆ”
คนแรก นาย Rex Tillerson อดีต CEO Exxon Mobil บริษัทด้านพลังงานยักษ์ใหญ่ และมีสัมพันธ์อันแนบชิดกับ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เนื่องจากเคยนำพาบริษัทเข้าไปลงทุนด้านพลังงานในดินแดนหมีขาว แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ หรือ ผ่านงานด้านการเมืองระหว่างประเทศมาแม้แต่น้อย

คนที่ 2 พล.อ.เจมส์ แมตทิส (James N. Mattis) อดีตผู้บัญชาการกองกำลังนาวิกโยธิน เจ้าของฉายา “Mad dog Mattis” (หมาบ้าแมตทิส) ซึ่งมีแนวคิดขวาจัดและนิยมความรุนแรง เจ้าของวาทกรรมชวนเสียวสันหลัง
“รู้สึกมันมือชะมัดที่ได้เข่นฆ่าคน”
”it’s fun to shoot some people”
และ
“เหล่าทหารนาวิกโยธิน สะกด คำว่า พ่ายแพ้ไม่เป็น”
“Marines don’t know how to spell the word ‘defeat'”

แค่ปูมหลัง และวาทกรรม ของเพียง 2 คน ใน ครม.ชุดใหม่ แบบนี้ แม้จะยังไม่ทันได้นั่งทำงาน มันก็น่าจะบ่งบอกได้แล้วว่า ทิศทางของรัฐบาลใหม่สหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ ทรัมป์ “มันน่าจะอันตราย” จริงไหม? ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทิ้งปุจฉา ให้แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ลองคิดตาม
ผลที่จะเกิดขึ้นต่อชาวโลก เมื่อ ท่านผู้นำทรัมป์ เดินเครื่องนโยบายสุดโต่ง!
นายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย ถอนหายใจ ก่อนตอบคำถามนี้ว่า ……หากเอาแบบ worst case scenario หรือ กรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นก็คือ ท่านผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ เกิดบ้าดีเดือด ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้กับอเมริกันชน แบบสุดโต่งเต็มที่ 100% แบบนั่น “ยุ่งแน่ๆ”
“แต่ส่วนตัวยังมองโลกในแง่ดี คิดว่า มหาเศรษฐีที่ผันตัวมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 ผู้นี้ คงน่าจะทำตามที่หาเสียงไว้ เพียงสัก 50% หรือ ครึ่งหนึ่งของที่หาเสียงไว้มากกว่า
ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริง ก็คงเบาใจได้ว่า โลก ก็คง ไม่แตก หรือ เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 3 แน่นอน แต่อย่างไรก็ดี ผลที่เกิดขึ้นจากการเดินตามนโยบาย เพียง 50% ของที่หาเสียงไว้แบบที่ว่า ก็คงจะทำให้โลก “วุ่นวายสาหัส” อยู่พอสมควรเลยทีเดียว
เพราะแม้ว่า จะดำเนินนโยบายเพียงครึ่งเดียวของที่หาเสียงไว้ มันก็น่าจะเป็นที่แน่นอนว่า ทรัมป์ และ ครม.ของเค้า ก็คงไม่ได้ไปญาติดีกับ รัสเซีย และจีน หรือ ประเทศอื่นๆ สักเท่าไหร่ เพราะตัวท่านผู้นำสหรัฐคนที่ 45 นั่น มีมุมมองกับประเทศอื่นๆ ในเชิงลบหมดเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะ ทรัมป์มองว่า ที่ สหรัฐอเมริกาตกต่ำ และทุกวันนี้ เศรษฐกิจของพญาอินทรี ไม่ดีนั้น ก็เพราะประเทศอื่นๆ เอาเปรียบ สหรัฐอเมริกามาตลอด” รศ.ดร.ประภัสสร์ กล่าว

จริงหรือมั่ว? ท่านผู้นำทรัมป์ สนิทแนบแน่ซี้ย่ำปึ้ก พญาหมีปูติน
เรื่องนั้น คนเค้าก็พูดกันไป….! รศ.ดร.ประภัสสร์ เว้นจังหวะให้พออยากฟังต่อสักครู่ ก่อนกล่าวต่อไปว่า
“เพราะในความเป็นจริง โลกของประเทศมหาอำนาจ มีคำกล่าวอยู่ว่า ความสัมพันธ์ส่วนตัว ไม่สามารถที่จะมาแข่งกับความขัดแย้งในเชิงผลประโยชน์แห่งชาติได้”
ณ เวลานี้ สิ่งที่ต้องพึงระลึกอยู่เสมอก็คือ สหรัฐฯ และรัสเซีย กำลังแข่งขันกันอย่างถึงพริกถึงขิง และมีผลประโยชน์ที่ขัดกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ ยุโรปตะวันออก หรือ ที่ไหนในโลกก็ตาม และที่สำคัญที่สุด แนวทางของ วลาดิเมียร์ ปูติน นั้น ชัดเจนมากว่า จะนำพา รัสเซีย ผงาดขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อแข่งขันกับ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ฉะนั้น ไม่ว่า มิสเตอร์ทรัมป์ จะสนิทซี้ย่ำปึ้กกับ ฝ่ายเครมลิน แค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะหลีกหนี ความขัดแย้งที่ว่านี้ไปได้แน่นอน! รศ.ดร.ประภัสสร์ กล่าวอย่างหนักแน่น

(ว่าที่) ประธานาธิบดีคนใหม่ USA กำลังเล่นเดิมพันเสี่ยง ที่อาจพาสหรัฐฯ สู่ สงคราม!
นอกจากนี้ หากลองสังเกตดู ขนาด ยังไม่ทันที่ ท่านผู้นำสหรัฐคนใหม่ จะเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ก็ยังกล้าดี ไปกระตุกหนวด “พญามังกรจีน” เรื่องนโยบาย “จีนเดียว” ด้วยการโทรศัพท์สายตรงไปหา น.ส.ไช่ อิง เหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน แหวกจริตการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ตั้งแต่ สมัยประธานาธิบดีริดชาร์ด นิกสัน ที่เลือกจะปล่อย ไต้หวัน ลงจากเอว แล้วหันไปใช้ การทูตปิงปอง Ping-pong diplomacy เข้าจูบปากรัฐบาลจีนแดง มาเป็นเวลานาน จนรัฐบาลปักกิ่ง อดรนทนไม่ไหวต้องออกมาประท้วง Mr.president ทรัมป์ จนวุ่นวายขายปลาช่อน
“จริงๆ ประเด็นนี้ ส่วนตัวมองว่า มันน่าจะเป็นเกมการเมือง ของ ทรัมป์ ที่หวังหยิบประเด็น ไต้หวัน มาเป็นเครื่องต่อรองกับ รัฐบาลจีน สำหรับการดำเนินการขั้นต่อไป คือ การกดดันให้รัฐบาลปักกิ่ง ยอมอ่อนข้อเรื่องลดค่าเงินหยวน และนโยบายกีดกันทางการค้าต่างๆ ที่มีต่อธุรกิจสหรัฐฯ ตามที่เจ้าตัวได้หาเสียงเอาไว้กับชาวอเมริกันมากกว่า”
“แต่…..การหยิบยกเรื่อง ไต้หวัน มาเล่น ของ ทรัมป์ นั้น ผมมองว่า มันคือเกมการเดิมพัน ที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่งของสหรัฐฯ
นั่นเป็นเพราะ…..ผลที่ได้ มันจะเกิดผล 2 ทาง คือทางหนึ่ง ดีไปเลย เช่น จีน ยอมอ่อนข้อตามแรงกดดัน ของ ทรัมป์ หรือ อีกทางหนึ่ง ย่ำแย่ลงและลุกลามบานปลายมากขึ้นไปอีก คือ จีน โกรธมาก จนถึงขนาดเพิ่มมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐฯ หนักมากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงมองว่า นี่คือ “เกมเดิมพันที่เสี่ยงอันตราย เอามากๆ”

และเรื่องที่เกิดขึ้นนี่ น่าจะเป็นเครื่องสะท้อนว่า ทรัมป์ กำลังดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยไม่ได้หารือใครมาก่อน พูดง่ายๆ คือ พอคิดอะไรได้ ก็ลงมือลองทำดูเลย โดยไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมามากพอ และในอนาคต การดำเนินนโยบาย แบบขอลอง “แหย่คนโน้นที คนนี้ที” โดยเฉพาะคู่ปรับ อย่าง รัสเซีย อิหร่าน หรือ เกาหลีเหนือ โดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ก็คงจะมีตามมาอีกในอนาคตแน่นอน
และหากคิดในทางที่ร้ายสุดๆ ของ เกมเดิมพันที่เสี่ยงอันตราย ตามแบบฉบับของ ทรัมป์ รูปแบบนี้ก็คือ
“การก่อให้เกิดสงคราม”
สหรัฐอเมริกา จะยังยืนเด่นเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ในยุค ของ Mr.president ทรัมป์ ได้อยู่หรือไม่?
รศ.ดร.ประภัสสร์ ชิงตอบทันทีว่า ….หากมองในเชิง กำลังทหาร แน่นอน สหรัฐฯก็จะยังเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ได้อยู่ต่อไป หากมองที่ประเด็นนี้ประเด็นเดียว
แต่…
การที่อเมริกันชน ได้ ทรัมป์ มาเป็นประธานาธิบดี นั้น ต้องยอมรับว่า หลายๆ นโยบาย มันเป็น “นโยบายฆ่าตัวตาย” และจะยิ่งทำให้อเมริกา เสื่อมลงเร็วขึ้นๆ ในระยะยาว

ฟันธง นโยบายแรกที่ต้องทำ หลัง Mr.president ทรัมป์ นั่งบัลลังก์
รศ.ดร.ประภัสสร์ เลกเชอร์ ให้ทีมข่าวฯฟัง อย่างออกรสออกชาติต่อไปว่า ….แน่นอนเลย …นั่นก็คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพราะมันคือนโยบาย ที่จะสามารถจับต้องได้เห็นได้เป็นรูปธรรม และที่สำคัญได้คะแนนนิยมจากอเมริกันชนด้วย ดูได้จากตอนนี้ ที่เริ่มลงมือไปบางส่วนแล้วด้วย ก็คือ การกดดันด้วยมาตรการภาษี บีบให้บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐฯทั้งหลายแหล่ เช่น ฟอร์ด หรือ แอปเปิล ย้ายฐานการผลิตจากประเทศโลกที่ 3 รวมถึง ประเทศจีน กลับมาตุภูมิ เพื่อสร้างการจ้างงานในอเมริกา
ซึ่งเอาล่ะ! นโยบายนี้ แม้อาจจะทำให้เกิดการจ้างงานได้ แต่คนที่มีการศึกษา ก็จะทราบดีว่า การทำแบบนั้นมันเป็นการ ฝืนกลไกทางการตลาดขัดหลักเศรษฐศาสตร์อย่างยิ่ง และจะทำให้สหรัฐอเมริกา แย่ลงไปอีก เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ค่าจ้างแรงงานในสหรัฐอเมริกาสูงมาก เมื่อต้นทุนสูง สินค้าก็จะมีราคาสูงตามขึ้นไปด้วย เมื่อเป็นแบบนี้ สหรัฐฯก็จะกลับมาเป็นชาติที่ขายสินค้าแพงกว่าประเทศอื่นๆ เหมือนดั่งในอดีต
และแน่นอน ผลที่ตามมาเมื่อขายของแพงกว่าชาวบ้าน คนก็ซื้อน้อย เมื่อคนซื้อน้อยลง บริษัทสัญชาติมะกันก็กำไรลดลง เมื่อกำไรลดก็ต้องปลดคนงาน หรือ บริษัทเจ๊งไปเลย ที่สุดก็จะเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจลุกลามบานปลายไปกันใหญ่อยู่ดี!

ปีแรก ของโลกภายใต้ ทรัมป์สมัยที่ 1 จะเป็นอย่างไร?
นายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย วิเคราะห์ในคำถามนี้ ของทีมข่าวฯ อย่างน่าสนใจว่า สหรัฐอเมริกา อาจกลายเป็นที่เกลียดชังของชาวโลก! The ugly American อาจจะหวนมาให้ชาวโลกได้รำลึกถึงอีกครั้ง เพราะแนวนโยบายของ ทรัมป์ มันชัดเจนว่า America first หรือ อเมริกาต้องมาก่อน
“ต่อไปนี้จะทำอะไร สหรัฐฯจะต้องได้ประโยชน์ก่อน และจะไม่ยอมเสียประโยชน์ให้ใครในโลกอีกต่อไปแล้ว”
….ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง อเมริกา เป็นผู้พร่ำสอนและบีบบังคับให้ชาวโลก ต้อง เปิดเสรีทางการค้าในทุกรูปแบบ เพื่อสนองลัทธิทุนนิยมของตัวเองมาตลอด จนส่งผลให้ สหรัฐอเมริกา ผงาดขึ้นแท่นเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและทหารอันดับหนึ่งของโลก แต่แล้ว เมื่อพิษร้ายของ การเปิดเสรีทางการค้า ที่พร่ำบอกและบีบบังคับชาวโลก ย้อนศร กลับเข้ามา สร้างพิษภัยให้กับตัวเองเข้าอย่างจังบ้าง ก็กลับบอกว่า การเปิดเสรีทางการค้า นี้ ทำชาวโลกเอาเปรียบตัวเอง
แบบนี้สินะ ถึงได้เกิดคำว่า The ugly American เพราะไม่ว่าชาวโลกจะเป็นอย่างไร
แต่ America ต้อง first ในเรื่องของผลประโยชน์เสมอ!
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
