ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/251080
วันพฤหัสบดี ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ชาวบ้านและคนในท้องถิ่น เวลามีปัญหาสุขภาพและโภชนาการมักจะมาร้านขายยาและขอคำแนะนำจากเภสัชกรเป็นประจำ” เพราะสะดวกและรวดเร็ว กว่าการที่จะต้องไปหาคุณหมอตามโรงพยาบาล ดังนั้น ร้านขายยาชุมชน จึงไม่ได้มีบทบาทแค่ขายยา ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด แต่สามารถกำหนดบทบาทตนเองให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนในการร่วมเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพและโภชนาการ เรียกสั้นๆ ว่า สถานีสุขภาพ หรือ เฮลท์สเตชั่น (Health Station) นั่นเอง
ภญ.ดร.ศิริรัตน์ ตันปิชาติ นายกสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) เภสัชกรที่มีประสบการณ์การทำงานนานมามากกว่าสองทศวรรษ และเธอเพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) เมื่อต้นปี 2559 เผยว่าหลายคนอาจมองว่าหน้าที่หลักของเภสัชกรคือการแนะนำยาและผลิตภัณฑ์ในร้านขายยาแก่ผู้บริโภค แต่ยังมีอีกบทบาทหนึ่งของพวกเขาซึ่งอาจยังไม่เป็นที่รับรู้มากนัก นั่นคือ การให้ความรู้ให้คำแนะนำในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมสุขภาพด้วยหลักโภชนาการ
โดยเฉพาะโภชนาการ ที่เกี่ยวกับนม ซึ่งมีความจำเป็นต่อเด็กในแต่ละช่วงวัยมากเพราะในแต่ละปีที่เด็กเติบโต ประเภทและปริมาณสารอาหารที่เด็กต้องได้รับจะแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ครอบครัวจะเลือกนมเป็นตัวเสริมโภชนาการให้เด็ก และมักจะมาปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากเภสัชกรในร้านยา แต่เมื่อมีความเคลื่อนไหวล่าสุดของภาครัฐที่ได้ผลักดันร่างพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีสาระสำคัญในการห้ามการส่งเสริมการตลาดทุกรูปแบบของอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดถึงสามปี
ทั้งนี้ มีคุณแม่จำนวนมากที่ให้ลูกหย่านมแม่หลังลูกอายุหนึ่งขวบ และมาซื้อนมเสริมการเจริญเติบโตในบางด้าน เช่น นมเพื่อช่วยเพิ่มน้ำหนัก หรือต้องการวิตามินแร่ธาตุที่ช่วยทำให้ลูกสมองดีมีความจดจำ เภสัชกรจะพิจารณาจากข้อมูลที่ได้พูดคุยกับลูกค้า และหลายครั้งพบว่า หากเด็กเติบโตตามวัย มีน้ำหนักส่วนสูงตามเกณฑ์ตามช่วงอายุ และรับประทานอาหารได้ปกติ เภสัชกรจะแนะนำคุณแม่ว่าไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินแร่ธาตุใดๆ ให้สิ้นเปลืองเงินทอง ในบางกรณี คุณแม่มือใหม่ขาดความรู้โภชนาการสำหรับทารกและเด็กเล็ก เภสัชกรจะให้คำแนะนำโดยละเอียดในการจัดเตรียมอาหารให้เด็กเล็กเพราะช่วงอายุ 1 ปี ถึง 2 ปี และ 2 ปี ถึง 3 ปี ประเภทและปริมาณสารอาหารจำเป็นที่เด็กต้องได้รับในแต่ละวันจะแตกต่างกัน คุณแม่จำนวนมากที่ไม่ทราบในเรื่องนี้เลย นี่เป็นข้อบ่งชี้อย่างหนึ่งว่า คุณแม่มือใหม่จำเป็นต้องได้รับข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องและสามารถเข้าถึงข้อมูลในทุกช่องทางเพื่อใช้เป็นคลังความรู้ในการเลือกและพิจารณาการจัดโภชนาการที่เหมาะสมให้กับลูก
ภญ.ดร.ศิริรัตน์ย้ำว่า หน้าที่ของเภสัชกรคือให้ข้อมูลโภชนาการตามหลักวิชาการ ไม่มีการชักจูงเรื่องของยี่ห้อนม
แม้ว่าประชาชนอาจมุ่งมาซื้อยี่ห้อนมที่ต้องการ แต่เภสัชกรจะซักถามพูดคุยเก็บข้อมูลก่อนเสมอและบางครั้งก็พบว่าไม่มีความจำเป็นต้องเสริมนมชนิดที่แม่ต้องการให้เด็ก อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เธอห่วงกังวลว่ากฎหมายใหม่ฉบับนี้จะมีผลกระทบในกระบวนการปฏิบัติงานของเภสัชกร คือ ความกังวลว่าจะให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างละเอียดได้หรือไม่ ให้ได้แค่ไหนจึงจะไม่ละเมิดกฎหมาย หรือถือว่าไม่เป็นการส่งเสริมการตลาดเพราะในสถานการณ์จริงประชาชนไม่ได้ต้องการเพียงข้อมูลหลักวิชาการ แต่ยังมีเรื่องของการอธิบายเกี่ยวกับวิธีการ ในการเลือกสารอาหาร รวมถึงคำชี้แนะให้ใช้ข้อมูลเปรียบเทียบเพื่อการตัดสินใจเลือกของคุณแม่หรือผู้ปกครองเด็ก
“คิดว่าการกำหนดช่วงอายุหนึ่งถึงสามปีเป็นข้อจำกัดเกินไป เภสัชกรทำงานได้ยากหรืออาจทำไม่ได้เลย ประเด็นนี้ภาครัฐควรให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ ทั้งบุคลากรด้านสาธารณสุขและคุณแม่หรือผู้ปกครองเด็กทารกได้มีโอกาสพูดคุยเสนอความเห็น หาทางร่วมมือกันเพื่อให้การส่งเสริมสุขภาพคุณแม่ ทารกและเด็กเล็กเป็นไปได้ด้วยดี ก่อนจะมีการประกาศใช้กฎหมายออกมาจริงๆ” ภญ.ดร.ศิริรัตน์ ยังได้เสนอความคิดเห็นถึงหน่วยงานภาครัฐว่า หากมุ่งที่จะส่งเสริมสุขภาพของแม่และทารกตั้งแต่แรกเริ่ม แนวทางสำคัญคือรัฐต้องพัฒนาชุดความรู้ด้านโภชนาการที่ถูกต้องสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และสำหรับการดูแลทารกแต่ละขวบปีในช่วงสามปีแรกของชีวิต นอกจากนี้ การกระจายความรู้จากภาครัฐสู่ประชาชนสามารถดำเนินการผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนได้ อย่างน้อยที่สุดเครือข่ายร้านยากว่า 18,000 แห่งทั่วประเทศ โดยการประสานงานของสมาคมเภสัชกรรมชุมชนสามารถให้ความร่วมมือได้อย่างเต็มที่เพราะนี่จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำหน้าที่ของสถานีสุขภาพที่เข้าถึงคนในชุมชนได้จริงๆ
