เรียนห่วย – นิสัยแย่ ‘คุณภาพเด็กไทย’ แก้ที่ใคร?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/252218

วันศุกร์ ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

วันเด็กแห่งชาติ…

เวียนมาถึงคราใด สิ่งหนึ่งที่คุ้นชิน คือ ผู้หลักผู้ใหญ่ทุกระดับมักออกมากล่าวถึงความสำคัญของเด็กๆที่จะเติบโตเป็น “กำลังสำคัญ” ในการพัฒนาประเทศ ล่าสุด “คำขวัญวันเด็ก 2560” จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คือ “เด็กไทยใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง” นัยหนึ่งคล้ายจะเป็นความ “คาดหวัง” ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ฝากไว้ในมือเด็กๆ

ทว่า…สถานการณ์ “คุณภาพ” เด็กไทยระยะหลังๆ “เต็มไปด้วยปัญหา” ไล่ตั้งแต่เดือน ธ.ค.2559 กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แถลงผลการทดสอบศักยภาพด้านการศึกษาระดับนานาชาติ “PISA” จัดโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2543 โดยทดสอบ 3 ทักษะ คือ “คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่าน”

สำหรับประเทศไทย การทดสอบครั้งล่าสุดเมื่อปี 2558 ทักษะด้านคณิตศาสตร์ ได้ 415 คะแนน จากค่าเฉลี่ย OECD 490 คะแนน, ทักษะด้านวิทยาศาสตร์ ได้ 421 คะแนน จากค่าเฉลี่ย OECD 493 คะแนน และทักษะด้านการอ่าน ได้ 409 คะแนน จากค่าเฉลี่ย OECD 493 คะแนน สรุปได้ว่าในทุกทักษะ เด็กไทย…

สอบตก!!!

“ซ้ำร้าย” หากนำไปเทียบกับการสอบเมื่อปี 2556 ที่ไทยได้คะแนนคณิตศาสตร์ 427 คะแนน วิทยาศาสตร์ 444 คะแนน และการอ่าน 441 คะแนน ถือว่าเด็กไทยยัง “คะแนนร่วง” กว่าเดิม…แล้วอะไรคือ “สาเหตุ”!?!?!

ที่เวทีเสวนา “กรณี PISA และทางออกการศึกษาไทย” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)…“รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล” รองผู้อำนวยการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ สกว. กล่าวถึงผลสำรวจ “พฤติกรรมในการเรียน” ของคนไทยอายุ 10 ปีขึ้นไป จาก 1,500 ตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 92.4 เคย “ลอกการบ้าน” และร้อยละ 74.9 เคย “ลอกข้อสอบ”สะท้อนภาพระบบการศึกษาที่ “ล้มเหลว”

อีกประเด็นที่น่าห่วง…“รศ.ดร.ปัทมาวดี” ระบุว่า จากการสำรวจเชิงลึก พบว่า เด็กไทยจำนวนไม่น้อย “เกรดเฉลี่ย” ในโรงเรียนดีมาก แต่ “ขาดทักษะคิดเชิงวิเคราะห์” และตัวแปรสำคัญไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน แต่ไปอยู่ที่ “ติวเตอร์” เด็กที่ครอบครัวมีฐานะดี มีโอกาสได้เรียนพิเศษ มี “โอกาส” มากกว่าเด็กในครอบครัวระดับล่าง เป็นการตอกย้ำว่า “ความเหลื่อมล้ำ” ยังฝังรากลึกในสังคมไทย

“เด็กที่ได้เรียนพิเศษจะคิดวิเคราะห์ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียน เราพบว่าเด็กที่สอบได้คะแนนที่โรงเรียนดี กลับคิดวิเคราะห์ไม่ดี แต่พอไปเรียนพิเศษกลับคิดวิเคราะห์ดีขึ้น แม้เราบอกว่าการเรียนพิเศษไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนา แต่ข้อเท็จจริงบ่งบอกว่าคุณภาพการเรียนที่โรงเรียนน่าจะมีปัญหา” รศ.ดร.ปัทมาวดี กล่าว

หรือใครจะ “อ้าง” ด้วยคำพูดเชิงปลอบใจตนเองว่า “เราอาจไม่เจริญทางวัตถุอย่างเขา…แต่ทางจิตใจเราดีกว่าเขาแน่นอน” ก็อาจต้อง “สะอึก” ซ้ำสอง เพราะ “บุคลิก-อุปนิสัย” เด็กไทยก็มีปัญหาไม่น้อย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ “รวย หรือจน” แต่เกี่ยวกับความเข้าใจใน “พัฒนาการ” ของเด็กแต่ละวัย และการ “เอาใจใส่” อย่างจริงจังเพียงพอ

ดังที่ “พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ” นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสมอง และนายกสมาคมนักวิจัยไทยเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ที่ผ่านมาผู้ใหญ่มักเลี้ยงเด็กแบบ “ตามมีตามเกิด” จึงมักบ่มเพาะ “สิ่งไม่ดี” ให้แก่บุตรหลานอย่างไม่รู้ตัว อาทิ พ่อแม่ที่เคยลำบาก “ปากกัดตีนถีบ” ก็ไม่อยากให้ลูกลำบากเหมือนตน ให้ “เรียนอย่างเดียว” ไม่ต้องทำอย่างอื่น ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะพ่อแม่ที่ฝ่าฟันอุปสรรค จนมีฐานะร่ำรวยแล้วเท่านั้น แต่พบได้ทั่วไปในครอบครัวทุกระดับ เช่น แม้พ่อจะเป็นเกษตรกร แต่กลัวลูกเหนื่อย ไม่อยากให้ช่วยงานในไร่นา

เหล่านี้แม้จะเป็นความ “หวังดี” แต่กลายเป็นการ “ปิดโอกาส” ฝึกฝนการแก้ไขปัญหา “นอกตำรา” ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ซ้ำร้ายกว่านั้นยังอาจกลายเป็น…

พ่อแม่รังแกฉัน!!!

เมื่อบวกกับสังคมยุคปัจจุบันที่ทุกชีวิตต้อง “แก่งแย่ง-เร่งรีบ” พ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกด้วยตนเอง มัก “ฝากลูกไว้กับสื่อ” เช่น ในยุคก่อนหน้านี้ที่ “ให้โทรทัศน์เลี้ยงลูก” จนมาถึงปัจจุบันที่หน้าที่ดังกล่าวเปลี่ยนมาเป็นของ “แท็บเลต-สมาร์ทโฟน” ทั้งๆ ที่มีงานวิจัยมากมาย ระบุว่า การให้เด็กเล็กๆ อยู่กับสื่อเหล่านี้ตามลำพัง จะมีผลต่อพฤติกรรมอย่างชัดเจน

“มนุษย์ต้องเรียนรู้จากมนุษย์ด้วยกัน ต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นจริง ในทีวี.เป็นสิ่งสมมุติ ถ้าให้ลูกดูทีวี. เด็กไม่อาจแยกแยะได้ว่าอะไรจริง-ไม่จริง จะสับสน ที่สำคัญพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่การพูด บุคลิกภาพ นิสัยใจคอ การดำเนินชีวิต เมื่อเด็กไม่ถูกสอน และพ่อแม่ไม่คิดว่าต้องเป็นต้นแบบ คิดแค่เลี้ยงๆให้โต แล้วส่งไปโรงเรียน แบบนี้เป็นการเลี้ยงที่ไม่มีคุณภาพ” พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าว

“พญ.จันทร์เพ็ญ” ย้ำว่า ปัจจุบันไม่อาจฝากความหวังไว้กับโรงเรียนอย่างเดียว เพราะสัดส่วน “ครูต่อนักเรียน” ถือว่าค่อนข้างมาก แม้โรงเรียนชั้นดียังอยู่ที่ครู 1 คน ดูแลนักเรียน 25 คน ส่วนโรงเรียนชั้นรองลงไป เฉลี่ยอยู่ที่ครู 1 คน ดูแลนักเรียนถึง 50 คน ฉะนั้นไม่มีทางที่ครูจะดูแลเด็กขนาดนั้นได้ดีเท่าพ่อแม่ ครูเป็นเพียง “ผู้ขัดเกลา” ต่อยอดให้ดีขึ้น แต่ “ผู้บ่มเพาะ” วางรากฐานเป็นหน้าที่ที่พ่อแม่ต้องทำมาก่อน

“ครูก็สอนตามหลักสูตร ถ้าพ่อแม่ไม่เติมให้เต็มก่อนเข้าโรงเรียน เด็กไม่พร้อมก็ไม่รับหลักสูตร เด็กบางคนอยู่อนุบาล 3 ยังใส่เสื้อผ้าเองไม่เป็น กินข้าวเองไม่ได้ เพราะมีคนรับใช้ตามป้อนข้าว ถ้าเป็นอย่างนั้นเข้าประถม 1 จะเรียนอะไรได้” พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าวย้ำ

หันไปมอง “บทบาทครู” ที่สังคมไทยหวังให้เป็นช่วยดูแลการเรียน อบรมความประพฤติ แต่ “พ่อพิมพ์แม่พิมพ์” ยุคหลังๆไม่อาจทำหน้าที่นั้นได้สมบูรณ์ เพราะต้องให้เวลากับเรื่องอื่น…

ผลสำรวจของ “สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน” (สสค.) พบว่า ใน 200 วันของช่วงเปิดภาคเรียน 1 ปีการศึกษา ครูต้อง “เสียเวลา” ถึง 2 ใน 5 หรือ “84 วัน” กับภารกิจจากภายนอก และในจำนวนวันที่เสียไป “กว่าครึ่ง” หรือ 43 วัน
ถูกใช้ไปกับ “การประเมิน” จากสารพัดหน่วยงาน

“เสียงสะท้อนจากครู” อันดับ 1 ระบุว่า อยากให้การประเมิน “ยึดผลสัมฤทธิ์” ของตัวผู้เรียนมากกว่าการทำเอกสาร อันดับ 2 อยากให้ “ลดภาระ” การประเมินให้เหลือเกณฑ์ประเมินเท่าที่จำเป็น และอันดับ 3 อยากให้ทำวิธีประเมินให้เป็นมาตรฐาน…ชี้ให้เห็นว่าแทนที่ระบบการประเมินจะเกิดประโยชน์ กลับเป็นการ “สร้างภาระ”

ด้าน “คริส ไรท์” (Chris Wright) หนุ่มลูกครึ่งที่ปัจจุบันเป็นติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษชื่อดัง เขียนบทความ “การศึกษาไทยไม่ไปไหน…เหมือนเดิม!!!” ลงในเฟซบุ๊คแฟนเพจส่วนตัว “Ajarn Chris Wright อาจารย์คริส ไรท์” ชี้ว่าปัญหาการศึกษาไทย “ทุกฝ่ายต่างผิดร่วมกัน” ไล่ตั้งแต่ 1.ผู้บริหารประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ ได้งบประมาณสูงมากทุกปี แต่ถูกใช้ไม่คุ้มค่า 2.ครู โดยเฉพาะครูสอนภาษาอังกฤษ ครูไทยที่เชี่ยวชาญจริงๆยังมีน้อย ขณะที่ครูต่างชาติที่นำเข้ามาหลายคนก็ไม่มีคุณภาพ 3.สถาบันการศึกษา เน้นสร้างแต่ตึกอาคาร “หรูหรา” มากกว่าอุดหนุนกิจกรรมพัฒนาการเรียนการสอน

4.ผู้เรียน ตัวเด็กก็มีปัญหามาก ซึ่งนักเรียนที่ดีไม่จำเป็นต้อง “อัจฉริยะ ฉลาด เก่ง หัวดี” มาแต่ต้น เพียงขอให้ “ตั้งใจ ขยัน รับผิดชอบ” ไม่ใช่สนุกไปวันๆ 5.พ่อแม่ผู้ปกครอง ที่โยนทุกอย่างให้โรงเรียน พอมีปัญหาก็โทษโรงเรียน แต่ไม่ช่วยโรงเรียนอบรมบุตรหลาน และ 6.คนเด่นคนดัง ในไทยมีน้อยมากที่ส่งเสริมการศึกษา ส่วนมากเน้นอวดค่านิยม “ติดเปลือก” ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย โชว์สินค้าราคาแพง อวดเรือนร่าง ฯลฯ

“คุณภาพเด็กไทย” ที่กำลังมีปัญหา หากประมวลจากข้อมูลข้างต้น ส่อว่าจะเป็น “บาป” ที่ทุกฝ่ายร่วมกันก่อ ดังนั้น “ทุกคน” ต้องช่วยกันแก้ไข อย่ามัว “โทษกันไปมา” ไม่เช่นนั้นเรื่องง่ายๆ “ปอกกล้วยเข้าปาก” จะหนักหนาสาหัสกลายเป็น…

เข็นครกขึ้นภูเขา!!!

Leave a comment