‘บิ๊กฉัตร’สั่งกรมชลรับมือน้ำไหลลงปากพนัง จ่อจ่ายเยียวยาต้นยางครัวเรือนละ3พัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/251702

วันจันทร์ ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2560, 14.32 น.

เร่งทำแผนระบายน้ำท่วมขังนครศรีธรรมราช กว่า 1 พันล้านลบ.ม.ให้เร็วที่สุด รอรับน้ำก้อนใหญ่ในอีก 2 วันข้างหน้า สบช่องแก้ไขระเบียบเบิกจ่ายเงินช่วยเกษตรกรล่าช้า เบื้องต้นเตรียมจ่ายเยียวยาต้นยางตายครัวเรือนละ 3,000 บาท

9 ม.ค. 60 ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติการเกษตร(วอร์รูม) ว่า ได้เร่งรัดกรมชลประทานวางแผนเร่งผลักดันน้ำท่วมขังในเขตเมืองและหลายอำเภอในจ.นครศรีธรรมราช ออกสู่ทะเลมากที่สุด ซึ่งมีปริมาณน้ำมากถึง 1 พันล้านลบ.ม. มีความจำเป็นเร่งต้องผันน้ำออกให้ได้มากกว่าวันละ 160 ล้านลบ.ม.เพราะต้องหากมีศักนภาพเท่านี้จะต้องใช้เวลา นานกว่า10วันจึงระบายได้หมดทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มมากขึ้น โดยให้เพิ่มจำนวนเครื่องสูบน้ำอีก 30-40 เครื่อง ไปจนถึงเพิ่มเครื่องมือจากส่วนกลางเข้าไปในพื้นที่ให้มากที่สุด โดยให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันนี้(9 ม.ค.) เพื่อให้มีพื้นที่สามารถรองรับน้ำก้อนใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาในอีก 2 วันข้างหน้า จากอ.เคียนซา จ.สุราษฐ์ธานี มาที่จ.นครศรีธรรมราช เพื่อป้องกันให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบให้น้อยลงมากที่สุด

โดยสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งเกิดจากปริมาณฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีปริมาณน้ำสะสมที่ลุ่มน้ำปากพนังขณะนี้มากถึง 1,000 ล้านลบ.ม. ซึ่งขณะนี้พื้นที่ที่น่าเป็นห่วงมากคือพัทลุงและนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ต้องเฝ้าระวังแม่น้ำตาปีที่ปริมาณน้ำสูงระดับตลิ่ง โดยมวลน้ำสูงสุดจะเริ่มเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมืองนครศรีธรรมราช ในวันที่ 11 มกราคม นี้  ซึ่งได้สั่งการให้กรมชลประทานนำเครื่องมือผลักดันน้ำออกสู่ทะเลและสูบน้ำจากพื้นที่ลุ่มต่ำ ที่ต้องเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลให้ได้เร็วที่สุด  เพราะหากยิ่งช้าพืชผลทางการเกษตรก็จะเสียหายเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ มวลน้ำที่ไหลมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีจะลงไปพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเข้าในเขตอำเภอเมือง และไหลออกสู่ทะเลทางอำเภอปากพนัง ซึ่งต้องเฝ้าระวังพื้นที่รับน้ำในเขตอำเภอเมืองและอำเภอปากพนัง โดยได้กำชับให้กรมชลประทานระดมเครื่องสูบน้ำลงไปพื้นที่และประสานงานกับทางจังหวัด เพื่อไม่ให้ในเขตอำเภอเมืองเกิดความเสียหายมาก ซึ่งหากจำเป็นก็ต้องให้น้ำไหลผ่านอย่างรวดเร็วที่สุดอย่างไรก็ตาม ในการผันน้ำออกสู่ทะเลนั้นต้องคำนึงถึงระดับน้ำทะเลขึ้นลงในแต่ละวันด้วย

ส่วนจังหวัดพัทลุงพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงคือ น้ำจะไหลลงไปที่ทะเลสาบสงขลาและเข้าท่วมในเขตอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา จึงต้องมีการแก้ไขปัญหาในระดับจังหวัดร่วมกัน

ส่วนแผนฟื้นฟูเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย มีพื้นที่ทางการเกษตรได้รับผลกระทบ  982,694 ไร่ เกษตรกร 391,568 ราย ขณะที่สวนยางได้รับผลกระทบ 600,000 ไร่คิดเป็น 60,338 ครัวเรือน ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงสำรวจพื้นที่ทั้งยางพารา ปล์าม ไม้ผล พืชไร่  เพื่อเร่งช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรโดยเร็วที่สุด  โดยในส่วนของต้นยางพาราหากเป็นต้นที่ยังไม่สามารถกรีดน้ำยางได้ก็จะได้รับความเสียหายมากกว่า

สำหรับพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ส้มโอ ทับทิมสยาม  และ ลองกองตันหยงมัส ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวิเคราะห์ควาทเสียหายให้ได้ภายในวันนี้(9 ม.ค.) เพื่อทำแผนฟื้นฟูโดยส่งเจ้าหน้าที่ทั้งในพื้นที่และส่วนกลางในการดำเนินการ

ด้านการปศุสัตว์ได้เร่งให้สำรวจว่า ยังมีสัตว์ตกค้างอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมอีกหรือไม่ หากยังมีเหลือให้รีบอพยพออกมาในพื้นที่ปลอดภัยพร้อมทั้งสั่งให้ทีมสัตวแพทย์ลงพื้นที่อีกมากกว่า 100 นาย เพื่อให้การช่วยเหลือ พร้อมทั้งเฝ้าระวังในเรื่องโรคระบาดสัตว์ที่อาจเกิดขึ้นภายหลังน้ำลดแล้ว เนื่องจากขณะนี้สินค้าเกษตรของไทยกำลังได้รับการยอมรับจากตลาดโลก เช่น ไก่ ซึ่งหากมีข่าวเรื่องโรคระบาดก็อาจสร้างความเสียหายให้กับสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลกได้

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการฟื้นฟูนั้นให้เตรียมแผนฟื้นฟูทั้งพืชไร่ พืชสวน และปศุสัตว์ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยบูรณาการการทำงานร่วมกันกับทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเร่งรัดแผนการบริหารจัดการน้ำของกระทรวงเกษตรฯ ที่เดิมอยู่ในแผนดำเนินการปี 2563-64 ที่อาจต้องเร่งดำเนินการตามแผนให้เร็วขึ้นโดยเริ่มในปี 2561

นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ใช้โอกาสนี้ในการเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาระเบียบการเบิกจ่ายงบประมาณให้การช่วยเหลือของทางราชการที่ล่าช้า จากการที่เจ้าหน้าที่ใช้เวลาในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความช่วยเหลือก่อนเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นเวลานาน เนื่องจากเกรงว่าจะขัดกับระเบียบราชการแล้วตัวเองจะต้องถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ตรวจสอบ ซึ่งต้องมีวิธีการที่ไม่ให้การเบิกจ่ายเงินล่าช้า แต่ต้องสามารถปกป้องเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานได้ด้วย

ส่วนจะใช้งบประมาณจำนวนเท่าใดในการช่วยเหลือฟื้นฟูและแก้ไขนั้น ต้องให้เจ้าหน้าที่สำรวจความเสียหายให้เสร็จสิ้นก่อน โดยเบื้องต้นจะใช้งบประมาณของกระทรวงเกษตรฯ หากไม่พอจะประสานกับทางรัฐบาลเพื่อของบประมาณเพิ่มเติมต่อไป ซึ่งในส่วนของสวนยางพารานั้น จะจ่ายเงินค่าพันธุ์ยางเพื่อปลูกซ่อมต้นละ 30 บาท สำหรับยางอายุไม่เกิน 1 ปี  ส่วนยางตายเสียสภาพสวนหรือตายเกิน 20 ต้นต่อไร่ จะจ่ายเงินเยียวยาครัวเรือนละ 3,000 บาท โดยใช้งบประมาณ 398 ล้านบาท จากกองทุนพัฒนายางพารา

 

Leave a comment