ส่องเกษตร : ปฏิรูปปีระกา-สินค้าเกษตรน่าจับตา(2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/251885

วันพุธ ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

449007

ตามที่เขียนไปสัปดาห์ก่อน เกริ่นไว้ว่า ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ได้วิเคราะห์ “เจาะสินค้าเกษตรไทยปี 2560” ในส่วน 5 สินค้าเกษตรหลักสำคัญที่มีมูลค่ารวมกันถึงปีละ 7 แสนล้านบาท ทำรายได้กระจายสู่ท้องถิ่นทุกภูมิภาค หล่อเลี้ยงชีวิตพี่น้องเกษตรกรไทยทั่วประเทศ โดยยกให้ “อ้อย” เป็น “ดาวรุ่ง”ปีไก่ ขณะที่“กุ้งขาว”เป็น“ดาวเด่น” ส่วน“ยางพารา”มีแนวโน้มที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากเป็น“ดาวร่วง”มาหลายปี แต่“ข้าว”ยังเป็นปีที่ราคาอยู่ในเกณฑ์“ต่ำต่อเนื่อง” และตัวที่น่ากังวลยิ่งก็คือ“มันสำปะหลัง”

ตอนนี้ก็มาลงรายละเอียดกันต่อ

TMB ยก “อ้อย” เป็นสินค้าเกษตร “ดาวรุ่ง” เพราะมีแนวโน้มดีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยราคาน้ำตาลตลาดโลกปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์กปลายพ.ย.อยู่ที่ 19.8 เซนต์ต่อปอนด์ เพิ่มขึ้นกว่า 50% จากราคาเมื่อม.ค. 2559 หลังจากก่อนหน้านี้ราคาร่วงลงไปสู่จุดต่ำสุดในเดือนส.ค.2558 และแนวโน้มราคาปีนี้ยังดีต่อ หลังอุปทานตลาดโลกตึงตัว

ส่วน“กุ้งขาว”เป็น“ดาวเด่น”เพราะภาวะผลผลิตฟื้นตัว หลังจาก 4 ปีก่อนโรคตายด่วนระบาดทำให้ผลผลิตลดลงกว่า 60% กระทบอุตสาหกรรมอาหารส่งออกให้ขาดแคลนวัตถุดิบ ทั้งนี้คาด“กุ้งขาว” ปีนี้ผลผลิตจะเพิ่มสูงกว่าปีก่อน 15% จากการปรับปรุงกระบวนการเลี้ยงของเกษตรกร ขณะที่ราคายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตามความต้องการของตลาดโลก จึงเป็นการ“รีเทิร์น”กลับมาสดใสอีกครั้ง

สำหรับ“ดาวร่วง”มาหลายปีอย่าง“ยางพารา” ปีนี้น่าจะ“รีเทิร์น”ขึ้นมาดีอีกตัว โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมานี้ ราคายางลดไปแล้วเกือบ 80% เทียบกับที่เคยขึ้นจุดสูงสุดที่กก.ละ 174.4 บาทเมื่อต้นปี 2554 ทำให้เม็ดเงินหายจากกระเป๋าชาวสวนยางเกือบ 2 แสนล้านบาทต่อปี ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยางสำคัญ แต่ราคาก็กระเตื้องขึ้นมากช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยยางแผ่นดิบชั้น 3 เฉลี่ยอยู่ที่ 59.4 บาท/กก.เพิ่มขึ้นกว่า 60% จากช่วงต้นปี 2559 ที่ราคาตกต่ำเหลือแค่กก.ละ 30 กว่าบาท การที่ราคาสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการรัฐบาล ที่พยายามปรับโครงสร้างการผลิตและการใช้ยาง เช่น สนับสนุนให้ใช้ยางในประเทศมากขึ้นและลดพื้นที่ปลูกยางเพื่อลดผลผลิต เป็นต้น ทำให้ราคายางปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เป็นดาวที่เริ่มฉายแสงอีกครั้ง

ขณะที่“ข้าว”โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ในปีที่ผ่านมาราคาตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ทำสถิติต่ำกว่าตันละหนึ่งหมื่นบาทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ช่วงท้ายปี ราคาเริ่มปรับเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็คาดว่า ราคาในปีไก่นี้อาจจะยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำต่อเนื่อง จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมากของข้าวนาปีฤดูกาลผลิต 2559/60 เช่นเดียวกับประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกอย่าง เวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน ที่ล้วนมีผลผลิตเพิ่ม

สินค้าเกษตรที่น่ากังวลในปีไก่นี้ ก็คือ“มันสำปะหลัง” ที่ราคาลดลงต่อเนื่อง ผลจากการที่จีนอนุญาตให้ใช้ข้าวโพดในประเทศเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ทดแทนมันสำปะหลังที่นำเข้าจากไทย (กว่า 45% ของผลผลิตมันสดทั้งปีของไทยส่งออกไปจีน) ทำให้ราคาเฉลี่ยมันฯสดคละลดลงจาก 2.2 บาท/กก. ในปี 2558 มาถึงเดือนพ.ย.ปี 2559 เหลือแค่ 1.3 บาท/กก. หรือลดลงกว่า 40% สวนทางกับปริมาณผลผลิตที่คาดว่าปีหน้าจะเพิ่มขึ้นอีก 2.1% เป็นปริมาณ 31.2 ล้านตัน ผลกระทบหนักสุดจึงหนีไม่พ้นเกษตรกรที่ลงทุนปลูกช่วงราคาสูงก่อนหน้านี้กว่า 5 แสนครัวเรือน กว่าครึ่งอยู่ในภาคอีสาน

TMB ยังให้ข้อสังเกตน่าสนใจว่า สินค้าเกษตรหลักทั้ง 5 นี้ มีส่วนคล้ายคลึงกันคือ ส่วนใหญ่ผลผลิตจะส่งออกในลักษณะวัตถุดิบ ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรมีมูลค่าเพิ่มไม่มากนัก ทั้งราคาก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดต่างประเทศเป็นหลักด้วย ดังนั้น หากต้องการให้ราคามีแนวโน้มดี หนีไม่พ้นต้องพยายามลดต้นทุนการผลิต,ลดพื้นที่ผลิต,เพิ่มปริมาณการใช้ในประเทศ และส่งออกเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูงขึ้น ภาครัฐจึงต้องเร่งปรับโครงสร้างสินค้าเกษตรไทยอย่างจริงจังต่อเนื่อง ผลักดันให้พัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตมากขึ้น

“นอกจากนี้เกษตรกรควรน้อมนำพระราชดำรัสเกษตรทฤษฎีใหม่ ปลูกพืชแบบผสมผสาน ที่สามารถสร้างความมั่นคงทางรายได้มากกว่าพึ่งพาการเกษตรเชิงเดี่ยว ที่มีความเสี่ยงจากราคาสูงกว่า และถือเป็นการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรระดับหน่วยย่อยไปพร้อมกันอีกด้วย”

เป็นข้อสรุปบทวิเคราะห์ ซึ่งสอดคล้องกับที่ผมว่าไปตอนที่แล้ว ถึงเวลาที่เกษตรกรไทยต้องปรับตัว “ปฏิรูป”ด้วยตัวของเกษตรกรเอง เพื่อชีวิตที่มั่นคง ยั่งยืนต่อไป

สาโรช บุญแสง

Leave a comment