ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/252854
วันพุธ ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
พี่น้องคนไทยทางภาคใต้ร่วม 12 จังหวัดต้องประสบกับอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ 2560 ที่ผ่านมา โดยผจญกับน้ำท่วมใหญ่ไปแล้วถึง 2 รอบ และช่วงเวลานี้ก็มีสิทธิที่จะเจอรอบที่ 3 จากฝนที่ตกหนักมาระลอกล่าสุด สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตผู้คนกว่า 25 ศพที่แตกดับไปกับสายน้ำ แล้วยังเศรษฐกิจที่ย่อยยับมหาศาล ทั้งทรัพย์สินและพื้นที่การเกษตร
ภาคการเกษตร พืชเศรษฐกิจหลักสำคัญๆ ของภาคใต้ มีการประเมินกันเบื้องต้นว่า ได้รับความเสียหายเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านจนถึงหลักแสนล้านบาทเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง“ยางพารา”ที่คาดว่า พื้นที่สวนยางถูกน้ำท่วมนับล้านไร่ เสียหายหลายหมื่นล้านบาท นอกจากนั้นก็มีปาล์มน้ำมันถูกน้ำท่วมนับแสนไร่,ฟาร์มกุ้ง-หอย-ปู-ปลา หลายหมื่นไร่ รวมถึงนาข้าวกว่า 2.5 แสนไร่ เป็นต้น
น้ำท่วมครั้งนี้ ทั้งน่าเสียใจและยังน่าเสียดายอย่างมากแทนพี่น้องเกษตรกรภาคใต้โดยเฉพาะชาวสวนยางพาราในพื้นที่จมน้ำ เพราะนับเป็นการเสียโอกาสอย่างยิ่งจากราคายางพาราที่กำลังอยู่ในภาวะ“ขาขึ้น”
ผมเองเพิ่งเขียนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ถึงการ “เจาะสินค้าเกษตรไทยปี 2560”ในส่วน 5 สินค้าเกษตรหลักสำคัญที่ศูนย์วิเคราะห์ TMB -ธนาคารทหารไทยได้ยกให้เป็นปีที่ยางพาราจะ “รีเทิร์น”กลับมา“รุ่ง” อีกครั้ง หลังจากที่เป็น “ดาวร่วง”มาหลายปี โดยราคายางแผ่นดิบชั้น 3 ได้ร่วงลงไปสู่จุดต่ำสุดเมื่อต้นปี 2559 เหลือแค่ กก.ละ 30 บาทต้นๆ แต่ช่วงปลายปี 2559 ราคาก็กระเตื้องขึ้นมาเกือบ 60% จากต้นปี
ขณะที่แนวโน้มในปี 2560 ราคายางพารายังจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากหลายปัจจัยบวก ทั้งปัจจัยในประเทศที่รัฐบาลมีมาตรการปรับโครงสร้างการผลิตและการใช้ยาง เช่น สนับสนุนให้ใช้ยางในประเทศมากขึ้นและลดพื้นที่ปลูกยางเพื่อลดผลผลิต เป็นต้น ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศจากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกกลับมาเป็น“ขาขึ้น”อีกครั้งตั้งแต่ปลายปี 2559 ที่ผ่านมา ก็นับเป็นผลบวกต่อราคายางพาราในตลาดโลกให้พุ่งตามขึ้นมาด้วย
จากราคายางแผนร่มควันชั้น 3 ปิดตลาดเมื่อสิ้นปี 2559 ณ วันที่ 30 ธันวาคม ที่ตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่ที่กก.ละ 76.19 บาท พอเปิดตลาดปีใหม่ 2560 ราคาก็ยังไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ 4 มกราคม อยู่ที่ กก.ละ 76.49 บาท มาถึงวันจันทร์ที่ 16 มกราคม ราคาได้ขึ้นมาถึงกก.ละ 88.21 บาทแล้ว
การที่ราคายางพุ่งขึ้นมากในช่วงไม่ถึง 2 สัปดาห์ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากปัญหาน้ำท่วมด้วย เพราะผลผลิตยางในภาคใต้ซึ่งเป็นแหล่งผลิตใหญ่ ลดหายไปจำนวนมาก เฉพาะที่นครศรีธรรมราช พื้นที่ปลูกยางแหล่งใหญ่ของภาคใต้จังหวัดเดียว ผลผลิตยางที่ออกสู่ตลาดก็หายไปวันละหลายหมื่นตัน จากการที่น้ำท่วม กรีดยางไม่ได้ แล้วยังผลผลิตยางที่เก็บไว้เดิมของเกษตรกรถูกกระแสน้ำพัดจมหายไปอีกมากด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากการที่ผู้ประกอบการบางส่วนแห่ซื้อตุนยางเก็บเข้าสต๊อกเพิ่ม เพราะเหลือเวลากรีดยางในช่วงนี้อีกไม่กี่สัปดาห์ ก็จะหมดรอบ หยุดกรีดยางแล้ว จึงเก็งว่าราคายังจะเพิ่มได้อีก
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย(สยยท.)ระบุว่า ปกติผลผลิตยางของภาคใต้จะออกมามากที่สุดช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม คิดเป็นปริมาณราว 5 แสนตันต่อเดือน และขณะนี้ราคากำลังดีมากเฉลี่ยเกินกก.ละ 80 บาท แต่หากจากนี้ไปจนถึงมีนาคม ต้นยางที่จมน้ำได้รับความเสียหาย จนไม่สามารถกรีดให้น้ำยางได้ จะกระทบรายได้ชาวสวนยางภาคใต้หายไปไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท ก็จะทำให้เศรษฐกิจและกำลังซื้อของภาคใต้หายไปอย่างมาก
ทาง สยยท.จึงได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงพล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) เสนอแนวทางให้กยท.เร่งฟื้นฟูสวนยางหลังน้ำลดแล้ว โดยให้ระดมเจ้าหน้าที่ออกตรวจสวนยางทุกพื้นที่ ที่สำคัญต้องให้กรมวิชาการเกษตร เข้ามาแนะนำการบำรุงฟื้นฟูต้นยางให้ถูกต้อง โดยเฉพาะสวนยางที่ยังมีน้ำท่วมขัง ทำให้ต้นยางใบร่วงติดโรคได้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องยางทั้งหลายในกระทรวงเกษตรฯ ต้องเร่งลงพื้นที่ เร่งช่วยฟื้นฟูสวนยาง เพื่อคืนโอกาสให้ชาวสวนยางได้กรีดยางขายในจังหวะที่ราคากำลังดีนี้ด้วย นี่ถือเป็นภารกิจ“คสช.คืนความสุข”จริงๆนะครับ
สาโรช บุญแสง
