ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/253021

วันพฤหัสบดี ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
สัปดาห์ที่แล้ว “กรมควบคุมมลพิษ” ได้ออกมาแถลงสรุปสถานการณ์ “มลพิษ” ในประเทศไทยประจำปี 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้สถานการณ์โดยภาพรวม อธิบดี “จตุพร บุรุษพัฒน์” จะชี้ว่า ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ทั้งคุณภาพน้ำ ทะเล ชายฝั่ง และอากาศ แต่เมื่อมองไปถึงปัญหามลพิษที่เป็นปัญหาใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศไทยอย่าง “ปัญหาขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย”กลับต้องบอกว่า ยังไม่มีทีท่าสถานการณ์จะกระเตื้องขึ้นมาได้เลย โดยอธิบดีจตุพรได้สรุปข้อมูลเอาไว้อย่างนี้ครับ
ปี 2559 พบว่ามีขยะมูลฝอยชุมชนเกิดขึ้นทั่วประเทศประมาณ 27 ล้านตัน หรือประมาณ 7 หมื่นตันต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ประมาณ 1.9 แสนตัน หรือร้อยละ 0.7 โดยแบ่งเป็นขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร 4.2 ล้านตัน และจังหวัดอื่น 22.8 ล้านตัน ขณะที่ 5 จังหวัด ที่มีขยะมูลฝอยเกิดขึ้นต่อวันมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี นครราชสีมา สมุทรปราการ และ ขอนแก่น
โดยมีขยะถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้องเพียง 9.59 ล้านตัน หรือร้อยละ 36 เท่านั้น ขณะที่ 11.69 ล้านตัน หรือร้อยละ 43 ถูกนำไปกำจัดแบบไม่ถูกต้อง และมีขยะเพียง 5.76 ล้านตัน หรือร้อยละ 21 ที่ถูกนำไปคัดแยกเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์
ส่วนของเสียอันตราย 3 ประเภท ได้แก่ ของเสียอันตรายชุมชน กากอุตสาหกรรม และมูลฝอยติดเชื้อ ในปี 2559 พบว่า มีของเสียอันตราย ทั้ง 3 ประเภท เกิดขึ้น 3.5 ล้านตัน ส่วนใหญ่เป็นกากอุตสาหกรรมอันตราย 2.8 ล้านตัน แต่ถูกนำไปจัดการอย่างถูกต้องเพียงร้อยละ 35 รองลงมาคือของเสียอันตรายจากชุมชน 6 แสนตัน ส่วนใหญ่เป็นซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนที่เหลือเป็นมูลฝอยติดเชื้อ
ถ้าจะถามผมว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สะท้อนให้เราเห็นถึงอะไรบ้าง
ผมก็คงตอบได้คำเดียว่า เรื่องนี้กำลังสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการจัดการปัญหาขยะ
ต้องไม่ลืมว่า “ปัญหาขยะมูลฝอย” เป็นหนึ่งในปัญหาที่รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสำคัญค่อน
ข้างมาก
มากจนถึงขนาดประกาศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ตั้งแต่นาทีแรกๆแห่งการเข้ามาควบคุมการบริหารประเทศเมื่อปี 2557 ก่อนจะลงทุนเขียน “โรดแมป” การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้องานสำคัญ 4 ข้อ คือ 1.การกำจัดขยะมูลฝอยตกค้างสะสมในพื้นที่วิกฤติ 2.การหารูปแบบที่เหมาะสมเพื่อจัดการขยะเกิดใหม่ เน้นการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง 3.จัดมาตรการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และ 4.การสร้างวินัยของคนในชาติมุ่งสู่การจัดการที่ยั่งยืน
ขณะที่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ก็มีอันต้องปรับกระบวนทัพการจัดการปัญหาขยะอีกรอบ ภายหลังจากเห็นว่าผ่านมา 2 ปี ทั้ง “วาระแห่งชาติ” ทั้ง “โรดแมป” เรื่องการจัดการขยะแทบจะหาความคืบหน้าอะไรไม่ได้เลย จึงมีการปรับกระบวนทัพการจัดการปัญหาขยะอีกรอบ โดยประกาศขับเคลื่อน “แผนปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะตามแนวทางประชารัฐ” โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างสวยหรูว่า จะต้องลดปริมาณขยะมูลฝอยในภาพรวมให้ได้ร้อยละ 5 จากการเกิดขยะมูลฝอยอัตราเฉลี่ยประมาณ 23 ล้านตัน พร้อมกับมอบหมายให้ “กระทรวงมหาดไทย” และ
“กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตและสิ่งแวดล้อม”เป็นแม่งานหลักในการดำเนินงาน
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความจริงแล้วในระดับนโยบายค่อนข้างให้ความสำคัญกับ “ปัญหาขยะ” ค่อนข้างมาก ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงไม่ตั้งหน้าตั้งตาเขียนโรดแมปเขียนแผนปฏิบัติการกันให้เสียเวลาแบบนี้แน่ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า พอพ้นจากระดับนโยบายมาสู่กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ซึ่งเป็นระดับปฏิบัติ มีการสานต่องานกันมากน้อยขนาดไหน ทำไมการจัดการปัญหาขยะยังไม่คืบ
เมื่อ 10 ปีก่อนเราเคยเห็น กทม. เห็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้จัดการขยะกันมาแบบไหน ทุกวันนี้ก็ยังแทบไม่เปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม การจะมานั่งโทษหน่วยงานรัฐอย่างเดียว ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเท่าไรนัก เพราะเนื้อแท้ของปัญหาขยะที่เกิดขึ้น ความจริงแล้วยังมีสิ่งสำคัญอีกประการที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ “วินัย” และ “สำนึก” ในการทิ้งและจัดการกับขยะ
ต้องยอมรับนะครับว่า สิ่งเหล่านี้พวกเราจำนวนมากยังแทบไม่มี เมื่อก่อนเคยมักง่ายกันมาแบบไหน เดี๋ยวนี้ก็ยังมักง่ายกันแบบนั้น
วันนี้ทุกฝ่ายต้องเอาจริงครับ ต้องเรียนรู้ ต้องรู้จักคัดแยก รู้จักวิธีการลดขยะกันตั้งแต่ต้นทาง
ไม่อย่างนั้น ประเทศไทยไม่รอดแน่
อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขยะคงล้นเมืองแน่นอน
มะลิลา