ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/254586
วันอังคาร ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
คำถาม ขอทราบวิธีปรับปรุงบำรุงดิน และการดูแลต้นพืชหลังน้ำท่วม ครับ
สะอาด ทรงงาม
อ.ควนกาหลง จ.สตูล
คำตอบ ฝนที่ตกหนักจนเกิดน้ำท่วมขังทำให้เกษตรกรต้องประสบกับปัญหาหนัก บางพื้นที่น้ำท่วมขังหลายวัน บางพื้นที่น้ำป่าไหลหลาก ทำให้พืชผลเสียหายเป็นจำนวนมาก เมื่อน้ำลดลงแล้ว ผลกระทบที่จะตามมาคือ ดินจะเกิดช่องว่าง หรือเป็นรูพรุน ทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ดินจะอิ่มตัวด้วยน้ำจนอ่อนตัว ดังนั้น การจัดการดิน หรือการเตรียมดินหลังน้ำลด เพื่อให้เหมาะสมต่อการทำเพาะปลูกพืชต่อไป จึงเป็นสิ่งจำเป็น และต้องทำอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติไว้ดังนี้
หลักการสำคัญในจัดการกับต้นพืชและดินหลังถูกน้ำท่วม ควรจะต้องมีการบำรุงรักษาต้นพืชให้เกิดรากใหม่ และให้แตกใบอ่อนโดยเร็ว ขณะเดียวกันต้องมีการจัดการดินให้ถูกต้องด้วย มีขั้นตอนการจัดการต้นพืชและดินหลังน้ำท่วม ดังนี้
1.หลังน้ำท่วมใหม่ๆ ขณะที่ดินยังเปียกอยู่ ห้ามนำเครื่องจักรกลหนักเข้าไปในพื้นที่ และห้ามบุคคล รวมทั้งสัตว์เข้าไปเหยียบย่ำ
บริเวณโคนต้นพืชโดยเด็ดขาด เพราะดินที่ถูกน้ำท่วมขังจะมีโครงสร้างง่ายต่อการถูกทำลายและเกิดการอัดแน่นได้ง่าย เป็นผลเสียต่อการไหลซึมของน้ำ และดินขาดการถ่ายเทอากาศ รวมทั้งกระทบกระเทือนต่อระบบรากของพืช ทำให้ต้นไม้ทรุดโทรม และอาจตายได้ หากจำเป็นต้องไถพรวน ควรใช้เครื่องมือเบา หรือเครื่องมือขนาดเล็ก แต่ต้องรอให้หน้าดินเริ่มแห้ง หรือมีความชื้นพอเหมาะสำหรับการไถพรวน หรือขณะที่วัชพืชกำลังเริ่มงอก เพื่อทำลายหรือกำจัดวัชพืชก่อนปลูกพืชหลัก อาจหว่านเมล็ดพืชหลักแล้วไถกลบ รวมทั้งช่วยกำจัดวัชพืชที่เพิ่งเริ่มงอกไปพร้อมๆ กันในครั้งเดียวก็ได้
2.ระบายน้ำออกจากบริเวณโคนต้นพืชโดยเร็วที่สุด จะช่วยเติมอากาศหรือออกซิเจนให้กับดิน โดยอาจขุดร่องระบายน้ำให้ไหลออกจากพื้นที่ให้มากที่สุด ขุดให้ลึกเท่ากับความลึกที่ต้องการระบายน้ำออก ในทางปฏิบัติให้ขุดร่องให้ลึกอย่างน้อย 30-50 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับความลึกที่เป็นอยู่ของราก น้ำจะระบายออกจากพื้นที่ในระดับความลึกไม่เกินความลึกของร่องระบายน้ำดังนั้นการขุดร่องน้ำจะต้องขุดตามแนวลาดเทของพื้นที่ โดยใช้ระยะห่างระหว่างร่องประมาณ 8-12 เมตร หรือกึ่งกลางระหว่างแถวพืชยืนต้น
3.ถ้าต้นไม้ดูอ่อนปวกเปียก ทรงตัวไม่ดีอย่ากดดินให้แน่น ให้หาไม้มาค้ำยันไว้ สำรวจดูที่ใบ หากใบเหลือง เหี่ยวเฉา ควรตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง เพื่อลดการคายน้ำออก และให้แดดส่องจะไม่เกิดโรคและแมลง
4.สังเกตว่ามีการชะล้างเอาดิน หรือทรายมาทับถมในบริเวณแปลงปลูกไม้ผล หรือไม้ยืนต้นหรือไม่ ควรทำการขุด หรือปาดเอาดินหรือทรายออกจากโคนต้นพืช เพื่อช่วยให้ต้นพืชตั้งตัวเร็วขึ้น
5.ให้ปุ๋ยทางใบแก่พืช เพราะในระยะนี้ ระบบรากของพืชยังไม่สามารถดูดกินธาตุอาหารพืชจากดินได้ตามปกติ เพื่อให้ต้นไม้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่ดิน ทำให้รากพืชแตกใหม่ได้ดีขึ้น
6.เมื่อดินแห้งแล้ว ให้พรวนดิน เพื่อให้ดินแห้งเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยเร่งขบวนการเติมอากาศของดินและรากพืช ได้เร็วและดีขึ้น
7.หากพบปัญหาของโรครากเน่า และโคนเน่า ที่เกิดจากเชื้อรา หากพืชยังมีชีวิตอยู่ ให้ราดสารกำจัดเชื้อรา ปรับสภาพดินด้วย
ปูนขาว และเติมเชื้อไตรโคเดอร์มาลงในดิน
8.ให้มีการพักดินในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมขังสักระยะ การพักดินถือเป็นการปรับปรุงบำรุงดินวิธีหนึ่ง โดยปล่อยพื้นที่ทิ้งว่างไว้ให้หญ้าและวัชพืชเจริญเติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ หรืออาจปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินไว้ เช่น ถั่วพร้า ถั่วมะแฮะ ซีรูเลียม เซ็นโตรซีมา เป็นต้น
วิธีการที่กล่าวมานี้ นอกจากจะเหมาะกับการฟื้นฟูสภาพดินหลังน้ำลดแล้ว ยังเหมาะสำหรับการเตรียมการไว้ก่อนน้ำท่วมอีกด้วย ในบริเวณที่แน่ใจว่าจะมีน้ำท่วมขังในปลายฤดูฝน ก็อาจปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินไว้ก่อน หรือปลูกพืชไร่อายุสั้นที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ก่อนจะมีน้ำท่วมขัง โดยปลูกให้มีระยะถี่กว่าปกติ และวางแถวพืชขวางความลาดเทของพื้นที่ หรือขวางทิศทางการไหลของน้ำ และเมื่อเก็บผลผลิตพืชไร่แล้วให้ทิ้งตอซังไว้ในพื้นที่โดยไม่ต้องไถกลบ ทั้งนี้ตอซังจะช่วยลดความรุนแรงของน้ำไหลบ่า และช่วยยึดหน้าดินไม่ให้น้ำพัดพาออกไปจากพื้นที่
นาย รัตวิ
