ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/255141
เป็นนักธุรกิจหญิงรุ่นใหม่ไฟแรงอีกคน สำหรับ “ยุ้ย-ภัค กิระนันทวัฒน์” จาก บริษัท ท้อปเท็นเทรดดิ้ง กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องหนังคุณภาพแบรนด์ไทยส่งออกไปต่างประเทศ เธอมีเลือดนักธุรกิจจากคุณพ่อคุณแม่ และเป็นเจเนอเรชั่นใหม่ที่เข้ามาดูแลงานด้านการตลาดให้กับบริษัท รายการ “ผู้หญิงแนวหน้ากับคุณแหน” ทุกวันอาทิตย์เวลา 16.00-16.25 น. ทางสถานี TNN 2ช่อง 784 ช่วง Focus On พิธีกร “ขิม-ทิพย์ลดา พูนศิริวงศ์” มีนัดพูดคุยกับเธอ ถึงที่มาที่ไปของบริษัท ท้อปเท็น เทรดดิ้ง กรุ๊ป จำกัด ที่มีมานานกว่า30 ปีแล้ว
ยุ้ย-ภัค กิระนันทวัฒน์ เล่าว่า “ธุรกิจของเราเริ่มมาจากที่ว่าคุณพ่อคุณแม่ เห็นช่องว่างทางตลาด ก็คือในยุคนั้นยังไม่มีในเรื่องเครื่องหนัง หรือมีก็น้อยมาก คนไทยยังไม่ทำเครื่องหนัง เขาก็เลยคิดว่าน่าจะไปทำธุรกิจตรงนี้ ก็เริ่มจากที่เขาไปรับสินค้ามาจากโรงงาน หลังจากนั้นลูกค้าเริ่มให้ความนิยม แล้วเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น เขาก็เลยตัดสินใจว่าเขาจะออกมาเปิดโรงงานเอง แล้วก็ทำเป็นแบรนด์ของตัวเอง
หลังจากนั้นก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก จนเราได้ขยายมาตอนนี้มีทั้งหมด 6 แบรนด์ ณ ตอนนี้ และเราก็ประสบความสำเร็จในการส่งออกด้วย เป็นเครื่องหนังแบรนด์ไทยที่ส่งออกไปต่างประเทศก็มีแบรนด์ มาร์เวลล์ (Marwell), เมย์ฟายน์(Mayfine), เฟนเนลี่(Fenneli), คาร์เรน(Karren), อเลน เดอลอง(Alain Delon) และก็ บีไซด์ ยู(Beside-U) ซึ่ง อเลน เดอลอง กับ บีไซด์ ยู จะเป็นลายเส้นที่เราได้มาจากต่างประเทศคือเราจะมีสิทธิ์ในการผลิตและก็ในการดีไซน์ด้วย สำหรับ อเลน เดอลอง กับบีไซด์ ยู คือรับสินค้าเข้ามาแล้วทำการตลาดให้เขา โปรโมทแบรนด์ให้เขา
ส่วนเรื่องที่ว่ามีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ มาจนถึงทุกวันนี้นั้น ก็คือเราให้ความใส่ใจในความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัตถุดิบ หรือบริการหลังการขาย ซึ่งสินค้าของเราทุกใบหลังจากที่ได้ซื้อไป เรารับประกันอายุการใช้งานตลอดชีพเลยค่ะ
สินค้าเราจะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงจริงๆ ไม่ว่าจะมีอาการชำรุดหรือเป็นอะไรก็ตามแต่ สามารถติดต่อที่บริษัทแล้วส่งซ่อมได้เลย ถามว่าในส่วนที่เราส่งออกไปขายในต่างประเทศ แล้วสินค้าเกิดมีปัญหาสามารถตีกลับมาซ่อมได้ไหม อันนั้นจะเป็นในส่วนของการผลิตให้กับลูกค้าต่างประเทศมากกว่า แต่ถ้าเป็นแบรนด์ของเราในประเทศ ก็คือถ้าลูกค้าได้ซื้อสินค้าเราไป เพียงแต่ว่าลูกค้านำสินค้าส่งกลับเข้ามาที่บริษัทเราจะซ่อมให้ หรือว่าในกรณีที่ซ่อมไม่ได้เราจะมีส่วนลดให้ลูกค้า ซึ่งนี่คือจุดเด่นของเรา

เรื่องการเจริญเติบโตของบริษัท จากที่เราเห็นในรุ่นคุณพ่อคุณแม่ที่ทำมา 30 กว่าปี จนมาถึงรุ่นเรา ซึ่งยุ้ยจะดูแลเรื่องการตลาดถามว่ายุ้ยมีหลักการอะไร และเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างจากสมัยก่อนจนมาถึงปัจจุบันนั้น
คือสมัยก่อนเราจะเน้นที่ว่า เราจะต้องมีร้านค้าอยู่ในห้างสรรพสินค้า หรือไม่ถ้าไม่ใช่ในห้างสรรพสินค้าก็จะเป็นในห้องที่เขามีพื้นที่ให้เช่าทั่วไป แต่ว่าตอนนี้ตลาดได้เปลี่ยนแปลงไป ยุ้ยจะเน้นไปเรื่องของออนไลน์เยอะมากขึ้น เรื่องของหน้าร้านจะน้อยลง
ทุกวันนี้ธุรกิจส่วนใหญ่มันจะเน้นไปที่ออนไลน์ มันจะมีออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ฉะนั้นยุ้ยมองว่าเราควรจะเน้นให้เป็นในเชิงของโชว์รูมมากกว่าไหม ให้ลูกค้าเข้าไปดูสินค้าได้ แต่ในการสั่งซื้อสินค้าอาจจะเน้นให้ลูกค้าไปสั่งซื้อออนไลน์มากขึ้น หรือว่าเราต้องการทำออนไลน์ให้มันดีขึ้น
เราจะนำสินค้าไปฝากไว้ในอีลีเทเลอร์ต่างๆ หรือทำเป็นห้องแชนแนลของตัวเอง กระทั่งเฟซบุ๊ค หรือว่าเว็บไซต์ของเราก็ได้ค่ะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนทำอะไรออนไลน์กันไปหมด
แม้แต่คน ที่ถ้าเราสังเกต ลูกค้าบางคนในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์เขาอาจจะไม่ถนัดมาก แต่ว่าในการใช้มือถือ เขาสามารถใช้ได้คล่องแคล่ว ซึ่งในเรื่องของการใช้อินเตอร์เนตผ่านมือถือจะเป็นอะไรที่สำคัญมาก แล้วเท่าที่ได้รับทราบข้อมูลมา คนไทยทั้งประเทศมีมือถือประมาณ 97 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรเสียอีก
สำหรับหลักการในการบริหารธุรกิจของยุ้ยถามว่ามีต้นแบบเป็นใคร ต้นแบบของยุ้ยคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชซึ่งหลักการการใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงยุ้ยว่ามันเป็นอะไรที่เราสามารถนำมาใช้ได้กับทุกอย่างในชีวิตของเรา รวมทั้งในการบริหารธุรกิจด้วยนะคะ ซึ่งในความคิดของยุ้ยเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนี้ก็เหมือนกับการบริหารธุรกิจ ก็คือในเรื่องของการลงทุน เราควรลงทุนอย่างระมัดระวังและไม่เกินตัวมากเกินไป มันจะสามารถทำให้ธุรกิจเรายั่งยืนและก็ก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่งได้ โดยที่มีความมั่นคง ไม่ต้องไปกู้ยืมมากเกินความจำเป็นของเรา
ส่วนเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ถามว่าเรื่องของแฟชั่นมีส่วนมากน้อยแค่ไหน มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นส่วนสำคัญด้วยค่ะ เพราะว่าในการผลิตคอลเลคชั่นออกมาแต่ละรุ่น เราก็ต้องดูก่อนว่าเทรนด์ของแต่ละปีเป็นอย่างไรบ้าง
ทุกคนอาจจะคิดว่าในการผลิตมันต้องดูเทรนด์ปีต่อปีใช่ไหมคะ แต่เทรนด์จริงๆ มันต้องดูล่วงหน้าไปอีก ก็จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ซึ่งเราก็จะเริ่มดูจากว่าเทรนด์สีก่อน สีแฟชั่นปีหน้าเป็นอย่างไร หลังจากนั้นเราก็จะต้องมาดูเทรนด์ในเรื่องของแฟชั่นว่าแฟชั่นปีหน้า เสื้อผ้าจะเป็นอย่างไร แล้วกระเป๋าต้องเป็นอย่างไร หลังจากนั้นเราค่อยมาดูเรื่องของวัตถุดิบที่เราจะใช้ ซึ่งมันสอดคล้องเหมาะสมกันไหม และหลังจากนั้นก็จะเป็นความต้องการของลูกค้าว่าลูกค้าต้องการสินค้าแบบไหน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นคนไทยจะไม่ชอบหนังที่มันเป็นลาย เช่น ลายงู แต่จะเป็นที่นิยมของลูกค้าชาวต่างชาติมากกว่า แต่ไม่ใช่ของคนไทย ฉะนั้นถึงแม้เทรนด์มันจะมาแบบ จระเข้ งูเหลือม เราก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ในเมื่อความต้องการของตลาดไม่ใช่ ความต้องการของตลาดแต่ละที่มันก็จะแตกต่างกันออกไป เราต้องตามให้ทันทั้งเทรนด์ ทั้งแฟชั่น และความต้องการของตลาด ซึ่งมันเป็นการบาลานซ์ที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนเหมือนกัน และก็ต้องอัพเดทตลอดเวลาด้วยค่ะ