รายงานพิเศษ : ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวเขาด้วยระบบสหกรณ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/255353

วันจันทร์ ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 06.00 น.

โครงการหลวง (Royal project) เป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขา เพื่อเป็นการหารายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น

ปัจจุบันโครงการหลวง ดำเนินงานใน 8 จังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอน มีสถานีวิจัยหลัก 4 สถานี และสถานีส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น เรียกว่า ศูนย์พัฒนาโครงการ จำนวน 21 ศูนย์ และหมู่บ้านพัฒนาอีก 6 หมู่บ้าน รวมหมู่บ้านในเขตปฏิบัติการทั้งสิ้น 267 หมู่บ้าน

โดยผลผลิตจากโครงการหลวงในปัจจุบัน ประกอบด้วย ผักปลอดภัยสารพิษ สมุนไพร ถั่วและธัญพืช ผลไม้ เห็ด ดอกไม้เมืองหนาว ผลิตผลปศุสัตว์ ผลิตผลประมง ผลิตผลป่าไม้ ดอกไม้แห้ง ผลิตภัณฑ์จากแฝก ไม้กระถาง และผลิตภัณฑ์แปรรูปในชื่อการค้า โครงการหลวงและดอยคำ

หนึ่งในนั้นคือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ปูนหลวง ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2523 ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเยี่ยมราษฎรบ้านแม่ปูนหลวง โดยศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ปูนหลวง ครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ 6 หมู่บ้าน ประกอบด้วยชาวไทยภูเขา เผ่า ลีซอ จีนฮ่อ และมูเซอแดง

นายอติชาต จักรคำปัน หัวหน้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ปูนหลวง ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย กล่าวว่า แต่เดิมนั้นชาวบ้านมีอาชีพเก็บชาป่าส่งจำหน่ายและปลูกฝิ่น ซึ่งพระองค์ได้รับสั่งให้ผู้อาวุโสหมู่บ้านและชาวเขาที่ตามเสด็จฯให้เลิกปลูกฝิ่นและพระองค์จะจัดหาไม้ผล พืชผักพันธุ์ดี เข้ามาให้ในพื้นที่ มาส่งเสริมให้กับเกษตรกร โดยเริ่มแรกเจ้าหน้าที่ได้นำไม้ผล เช่น บ๋วย พลับ และพีช มาเข้ามาแจกจ่ายให้เกษตรกรปลูก เพื่อไม่ให้เกษตรกรย้ายถิ่นฐานและทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งในปัจจุบันพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงฯแห่งนี้ เป็นพื้นที่หลักในการส่งเสริมไม้ผล พืชผัก เขตหนาว รวมทั้ง ชาและกาแฟ ปัจจุบันเรามีนักวิชาการเข้ามาส่งเสริมให้ความรู้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง มีการร่วมมือกับสหกรณ์การเกษตรโครงการหลวงแม่ปูนหลวง จำกัด โดยทางโครงการหลวงจะส่งเสริมและรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร ส่วนเรื่องปัจจัยการผลิต เช่น สารชีวภัณฑ์ ปุ๋ย โรงเรือน เป็นต้น ทางสหกรณ์การเกษตรโครงการหลวงแม่ปูนหลวง จำกัด จะเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งที่ผ่านมาผลผลิตทางการเกษตรของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงฯแห่งนี้สามารถสร้างรายได้กว่า 3 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว

ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ความว่า “เรื่องที่จะช่วยชาวเขาและโครงการชาวเขานั้นมีประโยชน์โดยตรงกับชาวเขา เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถเพาะปลูกสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นรายได้กับเขาเอง จุดประสงค์อย่างหนึ่งคือมนุษยธรรม หมายถึงให้ผู้อยู่ในถิ่นทุรกันดารสามารถมีความรู้พยุงตัวให้มีความเจริญได้ อีกอย่างหนึ่งเป็นเรื่องช่วยในทางที่ทุกคนเห็นว่า ควรจะช่วย เพราะเป็นปัญหาใหญ่คือปัญหาเรื่องยาเสพติด ถ้าช่วยชาวเขาปลูกพืชที่เป็นประโยชน์บ้างเขาจะเลิกปลูกยาเสพติด คือ ฝิ่น ทำให้นโยบายการระงับการปราบปรามการสูบฝิ่นและค้าฝิ่นได้ผลดี อันเป็นผลอย่างหนึ่ง”

ปัจจุบันผลผลิตของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ปูนหลวงแห่งนี้เป็นที่ยอมรับในตลาด อีกทั้งสามารถส่งออกผลผลิตได้ตลอดทั้งปี โดยศูนย์พัฒนาโครงการหลวงมีทั้งหมด 39 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งก็จะรับผลิตผลผลิตที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ลูกค้าหลักของโครงการหลวงส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มโมเดิร์นเทรด โรงแรม ร้านอาหาร ศูนย์การค้าและร้านของโครงการหลวงต่างๆ พร้อมกันนี้เกษตรที่เข้าร่วมโครงการหลวงฯ ต่างได้ผ่านการรับรองตามระบบรับรองมาตรฐาน GAP การเพาะปลูกที่ดี อีกทั้งโรงงานของโครงการหลวงฯทั้งหมดก็ผ่านการรับรองมาตรฐานระบบ GMP HACCP แล้วทั้งสิ้น ซึ่งมั่นใจได้ว่าสินค้าที่ออกจากโครงการหลวงฯทั้งหมดนั้นมีคุณภาพและมาตรฐานทุกขั้นตอน

นายสิทธิพล แสงทวีเจริญผล รองประธานสหกรณ์โครงการหลวงแม่ปูนหลวง จำกัด เล่าว่า เดิมพื้นที่แถบนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมปลูกฝิ่นเป็นหลัก แต่หลังจากที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จฯมาเยี่ยมเมื่อปี 2520 พระองค์ทรงให้ชาวบ้านยกเลิกการปลูกฝิ่น แล้วหาผลไม้ รวมถึงพืชผักเมืองหนาวมาปลูกทดแทน เมื่อชาวบ้านเลิกปลูกฝิ่นมาปลูกไม้ผล และพืชผักเมืองหนาว อย่างเช่น บ๋วย
ท้อ เชอร์รี่ พลับ เป็นต้น ก็ส่งผลชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น

“ต่อมาได้มีการจัดตั้งสหกรณ์โครงการหลวงแม่ปูนหลวง จำกัด จึงได้มีการเข้าร่วมเป็นสมาชิก และหลังจากเข้าสู่ระบบสหกรณ์อย่างเต็มตัว จากที่เคยเสียค่าเดินทางไปซื้อปัจจัยการผลิตในเมือง ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย และสารชีวภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในการขนส่งผัก ผลไม้ ไปจำหน่าย เมื่อมีระบบสหกรณ์เข้ามาบริหารจัดการ ก็สามารถช่วยให้ลดต้นทุนการ
ผลิตลงได้มาก เนื่องจากสหกรณ์จะเป็นตัวกลางในการรับซื้อสินค้าทั้งหมดจากสมาชิกเพื่อจำหน่ายให้กับโครงการหลวง ส่วนในเรื่องราคาเป็นไปตามกลไกตลาด ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกดราคา อีกทั้งยังเป็นแหล่งเงินทุนที่ดีให้แก่สมาชิกได้อีกด้วย” นายสิทธิพล กล่าว

Leave a comment