รายงานพิเศษ : อุทกภัยบางสะพานครั้งประวัติศาสตร์….มีทางออก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/254741

วันพุธ ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เข้าสู่ฤดูแล้งปี 2560 สถานการณ์น้ำของประเทศในภาพรวมทุกภูมิภาค แม้จะมีปริมาณในเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 33 แห่งทั่วประเทศจะดีกว่าปีที่ผ่านมา แต่ปริมาณก็ยังมีน้ำค่อนข้างน้อย ณ วันที่ 25 มกราคม 2560 มีปริมาณน้ำที่งานได้รวมทั้งสิ้น 24,343 ล้านลบ.ม. หรือเพียงประมาณร้อยละ 52 ของปริมาณการเก็บกักทั้งหมดเท่านั้น และที่สำคัญพื้นที่ชลประทานของเขื่อนขนาดใหญ่อย่างน้อย 10 แห่ง ต้องประกาศขอความร่วมมือให้เกษตรกรงดทำนาปรังอีก 1 ปี เพราะไม่สามารถส่งน้ำสนับสนุนได้

ประกอบด้วยพื้นที่ชลประทานเขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำพระเพลิง เขื่อนมูลบน เขื่อนลำแซะ จ.นครราชสีมา เขื่อนปราณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ จ.กาญจนบุรี และเขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี แม้ในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม แต่ที่เขื่อนบางลาง จ.ยะลา น้ำกลับน้อย ต้องประกาศงดจัดสรรน้ำเพื่อทำนาปรังด้วยเช่นกัน

ส่วนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การผลิตน้ำประปา ตลอดจนน้ำเพื่อการรักษาระบบนิเวศน์ และน้ำสำรองเพื่อการปลูกข้าวนาปี ปีนี้ไม่มีปัญหา มีเพียงพอ แต่ขอให้ใช้่น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า

อย่างไรก็ตามแม้สถานการณ์น้ำในภาพรวมจะมีปริมาณน้ำต้นทุนที่จะใช้บริหารจัดการในช่วงฤดูแล้งค่อนข้างน้อยก็ตาม แต่พื้นที่ภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัดกลับประสบปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมอย่างรุนแรง บางพื้นที่ท่วมแล้วท่วมอีก 3-4 รอบ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากฝนตกหนักติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง และบางพื้นที่มีสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำ ประกอบกับน้ำทะเลหนุน การระบายน้ำลงทะเลจึงค่อนข้างช้า โดยเฉพาะในพื้นที่ของจ.สุราษฎร์ธานี ตรัง นครศรีธรรมราช พัทลุง รวมทั้ง พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่ามหาศาล

นอกจากนี้ยังมีอีกพื้นที่หนึ่งที่ประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างรุนแรง และหนักที่สุดในรอบ 50 ปี คือ ที่อำเภอบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ สร้างความเสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ โรงพยาบาลบางสะพาน จะต้องขนย้ายผู้ป่วยอย่างฉุกเฉิน ปิดการรักษาพยาบาลชั่วคราวทันที

พร้อมๆกับกระแสข่าวออกมาว่า ทำไมไม่มีการแจ้งเตือน!! น้ำท่วมเพราะเขื่อนแตก!!

สำหรับสาเหตุของน้ำท่วมบางสะพานนั้น ได้รับการชี้แจงจากกรมชลประทานว่า เกิดจากปริมาณฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องในช่วงวันที่ 8-9 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา วัดปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยได้ถึง 446 มิลลิเมตร(มม.) และตกเป็นพื้นที่กว้างครอบคลุมลุ่มน้ำคลองบางสะพานทั้งหมดประมาณ 500 ตารางกิโลเมตร จนทำให้มีปริมาณน้ำท่าเกิดขึ้นกว่า 60 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) และไหลลงสู่คลองบางสะพานซึ่งแคบและคดเคี้ยวจนทำให้ล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมพื้นที่อ.บางสะพาน ประกอบกับพื้นที่อ.บางสะพาน เองเป็นที่ลุ่มต่ำแอ่งกระทะ เมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่หรือพื้นที่ใกล้เคียง น้ำจะไหลมารวมกันและท่วมขังบริเวณนี้เป็นประจำ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ฝนที่ตกหนักติดต่อกันถึง 2 วัน ส่งผลให้น้ำท่วมเป็นวงกว้างและรุนแรงสร้างความเสียหายแก่ชีวิต ทรัพย์สิน พืชผลทางการเกษตรจำนวนมากดังกล่าว

ส่วนสาเหตุที่ว่า น้ำท่วมเพราะเขื่อนแตกนั้น จริงๆแล้วเขื่อนไม่ได้แตก เพียงแต่ปริมาณน้ำที่มากทำให้น้ำล้นทางระบายน้ำฉุกเฉิน และไม่ได้ล้นสันเขื่อนอีกด้วย และที่สำคัญหากพิจารณาข้อมูลอย่างเป็นธรรม อย่างเข้าใจแล้วจะรู้ว่า น้ำท่วมบางสะพานครั้งนี้ ไม่ได้มาจากน้ำที่ล้นเขื่อนแต่อย่างใด ในทางตรงข้่ามเขื่อนกลับช่วยลดปริมาณน้ำท่วมในครั้งนี้ด้วยซ้ำไป

สำหรับเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำที่อยู่ในพื้นที่อ.บางสะพานนั้น เป็นอ่างฯขนาดเล็ก 3 แห่ง มีความจุรวมกันไม่ถึง 2 ล้านลบ.ม. ซึ่งอ่างฯทั้ง 3 แห่งมีปริมาณน้ำไหลเข้าจำนวนมากเช่นกัน ถ้าหากนำปริมาณน้ำที่ไหลล้นทางระบายน้ำฉุกเฉิน มาเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำท่าที่เกิดขึ้นทั้งลุ่มน้ำคือ 60 ล้านลบ.ม.แล้ว ถือว่าน้อยมาก ดังนั้นน้ำที่ไหลออกจากอ่างฯทั้ง 3 แห่ง จึงไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้น้ำท่วม

กรมชลประทานได้ชี้แจงว่า สาเหตุหลักของการเกิดน้ำท่วมครั้งนี้ คือ ฝนตกหนักทั้งลุ่มน้ำคลองบางสะพาน ซึ่งมีลำน้ำสาขาจำนวนมากหลายสิบสาขา ในขณะที่มีลำน้ำสาขาเพียง 3 แห่งเท่านั้นที่มีอ่างเก็บน้ำ และยังเป็นขนาดเล็ก แต่ก็สามารถชะลอและเก็บกักน้ำไม่ให้ไหลลงมาสมทบกับปริมาณน้ำในสาขาอื่นได้ ในขณะที่ลำน้ำสาขาอื่นๆไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำเลย ปริมาณท่าที่เกิดขึ้นจำนวนมากจึงไหลลงสู่คลองบางสะพานทั้งหมด จนล้นตลิ่งสร้างความเสียหายดังกล่าว ประกอบกับมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและผังเมือง ชุมชนได้เจริญเติบโตขยายตัวเพิ่มขึ้น มีสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางน้ำ ความรุนแรง และความเสียหายจึงค่อนข้างมาก

ส่วนประเด็นการแจ้งเตือนนั้น เมื่อตรวจพบว่ามีปริมาณน้ำเกิดขึ้นจำนวนมาก กรมชลประทานได้แจ้งไปยังทางจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แจ้งเตือนไปยังประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ในหลายพื้นที่ที่ประชาชนได้รับการแจ้งเตือน ได้ย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และอพยพมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย แต่ก็ยังมีหลายพื้นที่ที่ยังอยู่ที่เดิมเพราะคิดว่า จะไม่รุนแรงเท่ากับน้ำท่วมใหญ่เมื่อครั้งปี 2548

ประสบการณ์ในอดีตของชาวบ้านคิดว่า “เอาอยู่” การเคลื่อนย้ายของขึ้นที่สูงคิดว่าเพียงพอ เช่นเดียวกับ โรงพยาบาลได้วางกระสอบทรายป้องกันเรียบร้อย แต่ความรุนแรงในครั้งนี้เกินที่คาดการณ์ รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ว่าได้ ถามๆปู่ ย่า ตา ยาย ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า รุนแรงที่สุด และน้ำมารวดเร็วมาก รถยนต์ที่สัญจรบนถนน โดยเฉพาะถนนเพชรเกษมที่เป็นถนนสายหลักลงสู่ภาคใต้ ถูกพัดเสียหายนับร้อยๆคัน แม้แต่รถบรรทุกขนาดใหญ่ก็ยังไม่สามารถฝ่าความรุนแรงของกระแสน้ำในครั้งนี้ได้

อย่างไรก็ตามหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย กรมชลประทานได้ส่งเครื่องสูบน้ำ รถขุดตัก รถบรรทุก และเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเข้าตรวจสอบพื้นที่อ่างเก็บน้ำโป่งสามสิบ หมู่ 5 บ้านโป่งสามสิบ ตำบลทองมงคล อำเภอบางสะพาน และอ่างเก็บน้ำคลองลอย หมู่ 8 บ้านคลองลอย ตำบลร่อนทอง อำเภอบางสะพาน เพื่อตรวจสอบสภาพความมั่นคงของตัวอ่างเก็บน้ำและอาคารประกอบพบว่าตัวเขื่อนทางระบายน้ำล้นและอาคารประกอบยังคงมีความมั่นคงแข็งแรง ผิวหน้าคันดินบางส่วนมีความเสียหายบ้างจากน้ำกัดเซาะ ทั้งนี้ กรมชลประทานจะพิจารณาวางแผนซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม และให้ตรงกับความต้องการของประชาชนต่อไป

สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาวอย่างถาวรนั้น กรมชลประทานได้น้อมนำแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 มาใช้ในการวางแผนแก้ไขปัญหาทั้งปัญหาน้ำท่วมในช่วงฤดูน้ำหลาก และขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ซึ่งมีพระราชดำรัส เมื่อปี 2547 โดยสรุปว่า

“…พื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จนจรดจังหวัดชุมพรมีปริมาณน้ำในลำห้วยต่างๆเป็นจำนวนมากที่ไหลลงทะเล ให้กรมชลประทานพิจารณาวางแผนสร้างแหล่งเก็บกักน้ำต่างๆตามความเหมาะสมไว้ให้ประโยชน์ให้กับราษฎรและเพิ่มช่องระบายน้ำผ่านถนนและคลองระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมโดยด่วนต่อไป…”

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทานได้นำแนวพระราชดำริดังกล่าวมาดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำเพื่อบรรเทาอุทกภัยพื้นที่บริเวณตัวอำเภอบางสะพาน ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า หากจะให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจะดำเนินโครงการต่างๆดังนี้ ในระยะเร่งด่วน 1-2 ปี ได้ประสานแจ้งกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งปรับปรุงแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ สำหรับกรมชลประทานจะดำเนินการปรับปรุงอ่างเก็บน้ำที่มีอยู่ คือ อ่างฯโป่งสามสิบ และอ่างฯบ้านคลองลอย ระยะสั้นจะดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำพื้นที่อ.บางสะพาน ซึ่งจะต้องมีการขุดลอกคลองบางสะพาน

ส่วนในระยะกลาง-ยาว พิจารณาขยายคลองระบายน้ำที่อ้อมเมือง เพื่อใช้ระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด พร้อมกับศึกษาความเหมาะสมการสร้างอ่างฯบ้านไทรทอง และอ่างฯคลองลอยเพิ่มเติม ซึ่งจะต้องดำเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) และขอใช้พื้นที่จากหน่วยงานที่รับผิดชอบก่อน

หากดำเนินโครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ทั้งหมดนั้น จะสามารถทำให้น้ำที่ไหลผ่านเขตเมืองของ อ.บางสะพาน ได้ไม่น้อยกว่า 520 ลบ.ม./วินาที ส่วนการสร้างอ่่างเก็บน้ำจะทำให้มีแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30 ล้าน ลบ.ม. ขยายพื้นที่ชลประทานได้ 15,450 ไร่

โครงการดังกล่าวจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า คนบางสะพานจะเอาหรือไม่?

Leave a comment