ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/254739
วันพุธ ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เรื่องฝนฟ้าอากาศ มีความสำคัญยิ่งต่อภาคการเกษตรและความเป็นอยู่ในชีวิตผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองมาตลอด และนับวันจะยิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความวิปริตป่วนแปรที่เกิดจากธรรมชาติถูกทำลายอย่างมโหฬาร จนเสียสมดุล โดยเฉพาะสภาวะ “โลกร้อน”
ภัยแล้งและน้ำท่วมซ้ำซาก เป็นหายนะภัยที่เกิดขึ้นปีแล้วปีเล่า โดยเฉพาะช่วงปรากฏการณ์ “เอลนิโญ” หรือ“ลานิญา” ยิ่งทวีความหนักหน่วงรุนแรง เหมือนเช่นช่วง 2-3 ปีมานี้ ที่ไทยต้องเผชิญ“ภัยแล้งแสนสาหัส”จาก“เอลนิโญ”ต่อเนื่องมาจนถึงกลางปี 2559 ครันหมด“เอลนิโญ” ปรากฏการณ์“ลานิญา”เข้ามาแทน เพียงไม่กี่เดือน ก็เกิดน้ำท่วมแสนสาหัสต่อเนื่องหลายระลอกทางภาคใต้จนถึงเวลานี้
“มนุษย์ทำลายธรรมชาติ–ธรรมชาติก็เอาคืนมนุษย์”นั่นเป็น“สัจธรรม” ที่เราได้รับบทเรียนมานักต่อนัก แต่ก็ยังไม่หลาบจำ ใครที่พยายามทำงานปลุกจิตสำนึกรักษาธรรมชาติ ก็ก้มหน้าก้มตาทำไป แต่คนที่บ่อนทำลายธรรมชาติ ก็ไม่หยุดการกระทำ จะอ้างความจำเป็นใดๆ ก็ไม่อาจลบล้างผลที่มันจะเกิดขึ้นกับสังคมโดยส่วนรวม ซึ่งจะย้อนกลับมาเล่นงานเอากับผู้ที่ทำลายธรรมชาตินั้นด้วย
เรื่องร่วมมือแก้ไขปัญหา“โลกร้อน” เพื่อไม่ให้หายนะโดยเร็ว จึงเป็นเรื่องใหญ่ระดับ “โลก” แต่น่าเศร้าที่ข้อตกลงนานาชาติต่างๆ ในเรื่องนี้ ยังคงถูกละเลย เพิกเฉย ยิ่งยุคปัจจุบันที่หลายชาติมหาอำนาจ พากันเลือกผู้นำประเทศประเภท”ชาตินิยม”คิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง อย่างเช่น กรณีสหรัฐอเมริกา พญาอินทรีมหาอำนาจเบอร์ 1 ซึ่งตอนนี้ได้“โดนัลด์ ทรัมป์”มหาเศรษฐีผู้สุดโต้งมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ได้ดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้อย่างไม่แคร์ชาวโลก ซึ่งก็รวมถึงนโยบายที่จะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงลด“โลกร้อน” กลายเป็นตัวเร่งทำให้โลกทั้งใบตกอยู่ในภาวะเสี่ยงสูงขึ้นทุกที จนกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกได้เคลื่อนย้ายเวลา“นาฬิกาวันสิ้นโลก”เข้าใกล้เที่ยงคืนมากขึ้น เหลือแค่ 2 นาทีครึ่ง เป็นการส่งสัญญาณเตือนว่า “โลกใกล้จะถึงกาลพินาศมากขึ้นทุกทีแล้ว”
เขียนรำพันมาถึงตรงนี้ อย่างน้อยก็อยากจะให้ทุกคนมีสำนึกกันมากขึ้น ในการที่จะช่วยกันรักษาโลกของเรา เท่าที่มือน้อยๆของแต่ละคนจะทำได้
แต่ถึงแม้ภาวะฝนฟ้าอากาศจะเลวร้ายเพียงใด เราก็ต้องไม่งอมืองอเท้ายอมรับสภาพ โดยไม่ดิ้นรนสู้ให้ได้ เหมือนเช่นที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้ทรงศึกษาหาทางแก้ไข จนได้มาเป็นโครงการ “ฝนหลวง” พระราชทานให้พสกนิกรชาวไทย ได้ช่วยบรรเทาความยากแค้น จากภาวะภัยแล้งต่างๆมาจนถึงทุกวันนี้
และหน่วยงานที่มีหน้าที่ทำ“ฝนหลวง”สนองพระราชปณิธานก็คือ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเพิ่งฉลองครบรอบ 4 ปีการสถาปนาไปเมื่อ 25 ม.ค.ที่ผ่านมานี้ โดยมี“ลูกหม้อ”มากฝีมืออย่างนายสุรสีห์ กิตติมณฑล เป็นอธิบดีคนล่าสุด
อธิบดีสุรสีห์แถลงนโยบายกรมในโอกาสครบรอบ 4 ปีว่า ได้กำหนดวิสัยทัศน์เชิงนโยบายการพัฒนาตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ภายใต้แนวคิด “ยุทธศาสตร์ 20 ปีศาสตร์พระราชานำพาฝนหลวง 4.0” ให้กรมฝนหลวงฯเป็น“องค์กรชั้นนำระดับโลกด้านการดัดแปรสภาพอากาศตามศาสตร์ของพระราชา ภายในปี 2579” โดยน้อมนำแนวทางตำราฝนหลวงพระราชทานมาใช้เป็นพื้นฐานภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์คือ 1.ยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ปัญหาภัยแล้งและบรรเทาภัยพิบัติ 2.ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพการดัดแปลงสภาพอากาศ 3.ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการด้านการบิน และ4.ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าเป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการดัดแปรสภาพอากาศในระดับนานาชาติ เร่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงเพิ่ม 8 แห่งในแต่ละภูมิภาค พัฒนาแต่ละศูนย์ให้เป็นระดับสากล รวมถึงตั้งเป้าหมายแก้ปัญหาพื้นที่ภัยแล้งภายใน 20 ปีให้ได้100% และบรรเทาภัยพิบัติได้ 65%
ทั้งนี้โดยจะพัฒนาองค์กร 4 ด้านได้แก่ 1.พัฒนาบุคลากรให้เป็น smart officer 2.พัฒนาหน่วยงานสำนักงานให้สามารถรองรับเทคโนโลยีความทันสมัย smart office 3.พัฒนาการทำฝนให้ถูกที่ถูกเวลา เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขภัยแล้งและบรรเทาภัยพิบัติ smart rainmaking service และ 4.พัฒนาการจัดการโดยใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับงานวิจัย smart management
ครับ ก็ต้องเอาใช้ช่วย และต้องชมพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ด้วย ที่เลือกใช้คนถูก มีวิสัยทัศน์ เข้าใจงานฝนหลวง เชื่อว่า ไปโลดแน่
สาโรช บุญแสง