Star Retro : ครอบครัวบันเทิงอารมณ์ดี “โก้-คุณากร”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/259911

วันอาทิตย์ ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

“โก้-คุณากร เกิดพันธุ์” นักแสดงหนุ่มใหญ่ ที่โลดแล่นอยู่ในเส้นทางสายบันเทิงมากว่า 25 ปี ด้วยหัวใจที่รักในการแสดง ส่งต่อมาสู่ลูกไม้ใต้ต้นอย่าง “นนนกรภัทร์” ขวัญใจวัยรุ่นที่กำลังมาแรงในขณะนี้ สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้พาทุกท่านไปร่วมย้อนวันวานความประทับใจและแง้มประตูบ้านเข้าไปค้นทุกซอกมุมอันอบอุ่นของบ้าน เกิดพันธุ์

“ผมยังคงมีงานแสดงเรื่อยๆ คือพอลูกโตขึ้นเราก็เริ่มมารับงานละครได้แล้ว ที่เพิ่งถ่ายจบไปก็คือโปรเจกท์เอส ของนาดาว และ รักกันพัลวัน ทางช่อง 3ช่วงนี้คือรับเล่นละครอย่างเดียวเลยครับ มันอาจจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไปทำงานประจำเป็นทีวีดาวเทียมช่อง Hit Station เป็นผู้อำนวยการสถานีอยู่ประมาณ 2-3 ปี แต่พอทำไปสักพักเริ่มรู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับงานประจำ”

มุ่งมั่นมาทางสายงานบันเทิงตั้งแต่วัยเด็ก

เป็นคนที่ชอบการแสดงมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมแล้วครับ คือเราก็ใฝ่ฝันอยากจะเรียนการแสดง ได้ไปสมัครไปเทสต์หน้ากล้องแล้วก็ได้รับการคัดเลือกเป็นนักเรียนการแสดงช่อง 3 ตอนเรียนก็เป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมทำพิธีกร ดีเจ ทำอะไรที่มันเกี่ยวกับการสื่อสารการพูดจา อยู่ฝ่ายโสตฯ ของโรงเรียน จัดวิทยุตามสาย แล้วมันเป็นช่วงจังหวะพอดีที่เรามาแคสติ้งแล้วเราก็ได้

เรื่องเล่าวันวานสุดประทับใจกว่าจะมาถึงวันนี้

ผมเป็นนักเรียนการแสดงช่อง 3 รุ่นเดียวกับ “ชุดาภา จันทเขตต์” แล้วก็ได้รู้จักคนนั้นคนนี้เขาก็พาไปแคสงานโฆษณา จนมีโฆษณาชิ้นแรก คือครอบครัวคลินิกเล่นกับ “บี-วัลวิภา” เป็นโฆษณาที่ลักษณะเล่าเรื่องและมีตอนต่อไป หลังจากนั้นทางกันตนาก็เรียกเข้าไปเล่นละคร ถือว่าเราเกิดจากทางกันตนา โดย “พี่สุ” (สุชีรา กัลย์จาฤก)ที่เป็นคนเอาเราเข้าไปเล่นละครตั้งแต่ สุดแต่ใจจะไขว่คว้า,กำลังใจ ก็เล่นมาเรื่อยแล้วที่เป็นที่รู้จักของคนมากหน่อยคือจากเรื่อง ทายาทอสูร เวอร์ชั่น “พี่เหมียว-ชไมพร”แล้วกันตนาก็มีละครป้อนให้เรื่อยๆ จนมาเรื่องที่บูมที่สุดน่าจะเป็นเรื่องลอดลายมังกร เวอร์ชั่นแรก

ผลงานที่ถือเป็นที่สุด

ก็น่าจะเป็น ทายาทอสูร เพราะว่าถือเป็นการแจ้งเกิดเราด้วย สมัยก่อนละครเรื่อหนึ่งจะมีคนเล่นแค่4-5 คน ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ดารา 20 กว่าคนเรื่องหนึ่ง (บทบาทที่ท้าทายที่สุด) ก็ต้องเป็น ลอดลายมังกร เพราะว่าเป็นเรื่องของความโตขึ้นบทหนักขึ้นมีปฏิสัมพันธ์กับตัวอื่นเยอะมากขึ้น แต่ว่าเราก็ไม่มีคู่จิ้นคู่ขวัญนะของกันตนาเขาจะมีนักแสดงเยอะเราก็จะเวียนกันไปเรื่อย สลับมาเจอคู่บ้าง แล้วเมื่อก่อนมันจะมีละครที่เป็นแบบละครตอนเดียวสองตอนก็เป็นพระเอกในตอนนั้นจะจับคู่กับนางเอกคนนั้นคนนี้หมุนเวียนกันไป แต่ถ้าถามว่าเพื่อนสนิทในวงการมีใครบ้างก็สนิทกันหมดเลยครับ “อั๋น-ศิรคุปต์” “นุ่น-รุ้งทอง” “พี่ต้น-อธิวัฒน์” “นิออน-อิสรา”“กันตา ดานาว” แล้วอีกกลุ่มก็จะเป็นทางช่อง 3 “ชุดาภาจันทเขตต์” ก็ยังติดต่อสื่อสารกันอยู่เรื่อยๆ ยิ่งแก่ยิ่งเจอกัน(หัวเราะ) ยิ่งช่วงนี้เรายิ่งอยากเจอะเจอเพื่อนก็จะมีนัดเจอกันบ่อยหน่อย

พักงานแสดงเพื่อสร้างครอบครัว

ก็เล่นละครมาเรื่อยๆ จะมาเบรกไปก็ตอนมีครอบครัว ตอนปี 2543 คือต้องมาช่วยภรรยาเลี้ยงลูก เราก็ตั้งใจว่าจะดูแลเขาเอง เลยปลีกตัวออกมาจากงานแสดง แล้วมาทำพวกร้านขายของทำบริษัทไม่ได้ติดต่อผู้จัดเพื่อนฝูงเลย ไม่ได้นึกว่าเราจะเสียโอกาสตรงนี้ เมื่อก่อนมันก็ไม่ค่อยมีใครนึกหรอกว่าจะทำงานในแวดวงบันเทิงให้เป็นงานถาวร หรือว่าเป็นงานหลักตลอดชีวิต คือพอถึงวันหนึ่งมันก็เฟดตัวเองออกไปตามจังหวะที่มีคนใหม่เข้ามา บวกกับว่ามีโอกาสได้ทำพิธีกรเป็นพวกเกมโชว์อยู่หลายรายการ นอกจากนี้ก็ยังมีงานพิธีกรตามงานอีเวนท์อีก ซึ่งงานจะเยอะมากเป็นงานที่ทำภายในวันเดียวแล้วมันจบ ไม่ได้เหมือนเล่นละครที่ต้องต่อเนื่องยาวนาน เราก็รู้สึกว่ามันดีนะเพียงแต่ว่ามันไม่ได้ออกทีวี.เท่านั้นเอง และช่วงนั้นอาจจะเป็นช่วงที่ไม่มีบทสำหรับเราด้วยมั้ง คือจะวัยรุ่นก็ไม่ได้ วัยทำงานก็ไม่ได้ จะเป็นพ่อก็ยังไม่ได้ จังหวะทุกอย่างมันพอดี พอมามีครอบครัวที่ต้องดูแลหรือว่างานทีวีดาวเทียมที่เราจะต้องดูแล ก็เลยเหมือนกับว่าลงตัว

ย้อนเส้นทางความรัก

กับภรรยา (พูนสุข เกิดพันธุ์) เจอกันตอนที่ทำรายการวิทยุ เขาเป็นทีมงานอยู่ในสถานี ซึ่งช่วงต่อจากพิธีกรมันก็นำพาเราสู่วิทยุ ได้ไปทำรายการเลยรู้จักกันและคบกันมา อยู่วงการทีวี.เล่นละครก็ไม่ได้คบใครในสายงานนี้ คือส่วนมากทำงานแล้วก็แยกย้ายกันไป มีคุยๆ กันอยู่บ้างแต่ว่าไม่ได้เจริญเติบโตไปจนถึงเป็นคู่กัน ช่วงนั้นก็มีข่าวกับคนนั้นคนนี้บ้าง สนิทกับใครไปเที่ยวกับใครก็มีเป็นข่าวกันเหมือนสมัยนี้แหละ แต่สมัยนู้นไม่มีปาปาราซซี่ไม่มีใครไปตามถ่ายรูป กับหนิงก็คบหากันประมาณสัก 2 ปี เราก็แต่งงานสร้างครอบครัวร่วมกัน แล้วก็มีลูก 2 คน

วางอนาคตให้ลูกๆ เดินตามสายงานบันเทิงไหม

ไม่ครับ ก็มีแต่แม่เขานั่นแหละคือเราก็เลี้ยงดูเขาตามปกติ เห็นความน่ารักของเขา แล้วพอดีช่วงนั้นคุณแม่เขาก็จะพาลูกไปนู่นไปนี่แล้วไปเจอโมเดลลิ่ง เขาเห็นน้องน่ารักดีอยากเอาน้องไปถ่ายโฆษณา “นนน” (กรภัทร์เกิดพันธุ์) เริ่มถ่ายโฆษณาตั้งแต่เป็นเด็กยังใส่ผ้าอ้อมประมาณ 9 เดือนขวบหนึ่ง เราเองก็ไม่ได้ขัดเพราะว่าถ้าน้องเขาสนุกกับงานคือไปแล้วไม่เป็นภาระใคร แต่ว่านี่ไปแล้วเขาสนุก คนเอาเขาไปทำงานก็สนุกเลยไม่มีปัญหาอะไร เราก็เลยมีความรู้สึกว่าพอเขาให้ความร่วมมือในการทำงานก็แสดงว่าน่าจะเป็นที่ต้องการของคนอื่น นนนก็เลยจะมีผลงานมาตั้งแต่เด็กจากถ่ายภาพนิ่ง เริ่มโฆษณาชิ้นแรกก็ถ่ายกับแม่เขา เพราะทีมงานก็กลัวน้องจะไม่เล่นกับคนอื่นเลยให้แม่เล่นด้วย แล้วจนมาโฆษณายูบีซี ซึ่งตอนนี้ก็เป็นทรูวิชั่น คือเราก็ได้ถ่ายทั้งบ้านเลยพ่อแม่ลูกก็อีกเหมือนกันคือเขาอยากได้ลูกเล่นแต่ก็กลัวว่าลูกจะไม่เล่นก็เลยเอาพ่อ-แม่ไปถ่ายด้วย (หัวเราะ)

ลูกทั้ง 2 คน ทราบไหมว่าคุณพ่อเป็นนักแสดง

ตอนเด็กๆ เขาจะรู้สึกว่าทำไมมีคนรู้จักพ่อเยอะจัง คนในวงการที่เขาเห็นในทีวี.ทำไมรู้จักพ่อเราด้วยเหรอ พ่อรู้จักเขาได้ยังไง ทำไมพ่อรู้จักคนที่เป็นดาราคนนั้นคนนี้ด้วย คือเขายังไม่รู้ว่าเราเคยเป็นนักแสดงมาก่อน เขาก็สงสัย บางทีดาราคนนี้คนนั้นเป็นเพื่อนพ่อด้วยเหรออะไรแบบนี้ครับ

การที่ลูกมายืน ณ จุดนี้ คุณพ่อมีส่วนผลักดันแค่ไหน

เขามาด้วยตัวเขาเองด้วยศักยภาพของเขาครับ คือเมื่อก่อนเวลาที่เราไปเจอใครก็มีแนะนำบ้างว่าลูกชาย แต่ก็ยังไม่มีใครเห็นแววในตัวเขาเลย เขาก็เป็นเด็กตัวเล็กๆ แม้แต่โฆษณาก็ยังต้องได้รับการคัดเลือกจากลูกค้า เป็นไปตามขั้นตอนของการทำงานเลยครับ ไม่มีใครที่จะแบบเฮ้ย..นี่ลูกคุณากรเอาไปเล่นสิ มันไม่ใช่ แต่ว่าคือคาแร็กเตอร์ต้องตรงกับสินค้า ต้องเล่นได้ ลูกค้าต้องยอมรับ ซึ่งทางลูกค้าเขาก็ไม่รู้จักหรอกว่าโพรไฟล์ของเด็กคนนี้เป็นใครมาจากไหน ความเป็นลูกเราไม่ได้มีผลต่อการถ่ายโฆษณาใดๆ ทั้งสิ้น แล้วยิ่งเขาโต เราก็ยิ่งไม่มีได้แนะนำอะไรเขา มันเป็นธรรมชาติของพ่อลูก ยิ่งเป็นลูกชายเขาก็จะฟังจากคนอื่นๆ ซึ่งเราก็ต้องการอย่างนั้น เพราะว่าลักษณะการทำงานของเราเมื่อก่อนกับสมัยนี้ที่เป็นซีรี่ส์ มุมมองการเล่นมันไม่เหมือนกันเลย ก็ปล่อยให้เขาเรียนรู้จากแนวใหม่ๆ จากผู้กำกับแต่ละเรื่องที่เขาได้ร่วมงาน

ลูกสาวคนเล็กก็ฉายแววตั้งแต่เด็ก

“นนนี่” (พิชชาภรณ์ เกิดพันธุ์) เขาถ่ายโฆษณาตอนที่เล็กกว่านนนอีกนะ คือคุณแม่เขาพาไปประกวดในหนังสือรักลูกมาตั้งแต่เป็นเบบี้เลย แล้วพอมางานโฆษณาก็อย่างที่บอก พอลูกค้าอยากได้นนนก็อยากได้น้องของนนนด้วย แล้วกลัวจะเล่นไม่ได้ก็เลยใช้เด็กในบ้านเดียวกันซะเลย คุณแม่เขาจะพาไปแคสงานเหมือนกันเขาก็ได้มาบ้าง และเขาเล่นละครมาก่อนนนนอีกเป็นละครของหน่วยราชการ เวลาพาลูกไปทำงานก็จะเป็นหน้าที่ของแม่เขา เพราะว่าตัวเราเองก็ทำงานของเรา

ครอบครัวอบอุ่นสบายๆ ไม่เน้นวิชาการ

เราห่วงเขาเรื่องสังคมเรื่องการคบหาผู้คน แต่ว่าตัวลูกเราค่อนข้างมั่นใจเพราะว่าเราเลี้ยงมาด้วยตัวเอง คือเราเลี้ยงเขาแบบสบายๆ ไม่ได้เคร่งเครียดเรื่องวิชาการ ให้เขาทำในสิ่งที่เขาถนัดมากกว่าที่จะไปจับเขาใส่ แล้วเราก็ดูจากตัวเขาว่าอยากได้อะไรไม่ว่าจะเป็นดนตรี ศิลปะ วิชาการก็สนับสนุนไป และเราก็ไม่ได้มาสตริ๊กเขามากว่าจะต้องเรียนดีวิชาการเด่น เอาที่เป็นความสุขเขา บ้านนี้ก็เลยตกลงกันว่าจะไม่ให้ลูกเรียนพิเศษ ส่วนเวลารับงานก็ต้องดูที่นอกเหนือจากเวลาเรียน ไม่ห่วงเรื่องการแบ่งเวลา ลูก 2 คนเขารักและเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากครับ เนื่องจากว่าเราอยู่ด้วยตลอดสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวไปไหนมาไหนด้วยกัน เขาก็มีทะเลาะกันบ้างเป็นธรรมชาติพี่น้องแหย่กันทะเลาะกัน แต่ว่าเขาก็มีความรักความห่วงใยกัน ถ้าพ่อ-แม่ไม่ได้อยู่ด้วยเขาจะดูแลกันและกันได้ดีมาก

อนาคตของลูกๆ

เป้าใกล้ๆ ก็ให้จบปริญญาตรีจะจบสาขาไหนก็ได้คือให้เขามีวิชาความรู้ไว้เพื่อพัฒนาตัวเองต่อไปในอนาคต คือไม่อยากให้ทิ้งการเรียนแม้ว่าจะมีงานแสดงแล้วก็ให้ทำควบคู่กันไป จะบอกเขาอยู่ทุกวันว่าตรงนี้มันค่อนข้างฉาบฉวยเราบอกไม่ได้หรอกว่าวันไหนความนิยมของเราจะตกไป แต่สิ่งที่เป็นวิชาความรู้มันอยู่นาน สามารถทำให้เรามีอนาคตได้อย่างชัดเจนผมไม่ได้ตามใจเขานะคือจะดุเหมือนกันในการเลี้ยงลูกต้องมีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตเขาจะมีตารางอยู่ในตัวเขาเองโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวคือจะนอน 2 ทุ่ม มันก็เลยส่งผลทำให้เขาตัวสูง ที่บ้านคือสองทุ่มปิดไฟนอนกันแล้วพ่อ-แม่ก็ต้องทำให้เป็นแบบอย่างด้วย

แอบปลื้มทุกครั้งที่มีคนชื่นชมลูก

รู้สึกดีครับแอบยิ้มดีใจที่มีคนสนใจเขา ตอนนี้นนนเขาก็อยู่กับทางgmmtvก็น่าจะตรงกับกลุ่มอายุของเขามากที่สุด ที่นี่รักน้องและเห็นศักยภาพของน้องที่จะเอาไปต่อยอดทำนู่นทำนี่ได้ ในส่วนของบทบาทที่เขาได้รับตอนนี้ก็คือเหมาะสมกับเขายังเป็นอะไรใสๆ น้องยังเรียนมัธยมตัวผู้จัดเองก็น่าจะรู้ว่าน้องไม่เหมาะที่จะไปใส่อะไรที่มันเป็นเกี่ยวกับเรื่องเพศ

ช่วงนี้คุณพ่อเนื้อหอมไม่เบา

ครับตอนนี้ทางช่องวันก็เพิ่งจะนำละครเก่ามาออกอากาศอีกครั้ง อย่างเรื่องบัลลังก์เมฆ ร้อยเล่ห์เสน่ห์ร้าย แล้วก็เพื่อเธอ เลยทำให้ตอนนี้เดินไปไหนมาไหนมีคนทักเยอะขึ้น แล้วบางครั้งเราไปกับลูกกับนนนเนี่ย ก็จะมีคนเข้ามาทักเรา บางคนรู้จักพ่อไม่รู้จักลูกบางคนไม่รู้จักพ่อรู้จักลูก (หัวเราะ) เพราะว่าคนละรุ่นกันล่าสุดไปต่างจังหวัดแม่ค้าส้มตำจำพ่อได้กรี๊ดพ่อนนนงงเลย แม้ว่าเราจะไปๆ มาๆ สำหรับงานละครแต่ว่าก็ยังมีคนจำเราได้ก็รู้สึกดีนะครับ เหมือนว่าเราได้อานิสงส์จากงานเก่าที่เรามีคือ ลอดลายมังกร และทายาทอสูร ซึ่งเป็นเรื่องที่คนดูยังจดจำเราได้มาก

วงการบันเทิงในวันนี้กับวันวาน

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเลยคือจำนวนคนที่มีอยู่ในวงการนะครับ สมัยก่อนมีไม่กี่คนเป็นครอบครัวเล็กๆ สมัยนี้เกิดเร็วตายเร็ว มันก็อยู่ที่การวางตัวการเป็นคนที่น่ารักในการทำงาน เรื่องความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่สำคัญทุกยุคทุกสมัย สมัยนี้เกิดยากตายง่าย เกิดยากเพราะว่าคนมีเยอะการที่เราจะเด่นขึ้นมานั้นมันยากนะ แต่พอขึ้นมาแล้วจะไปตอนไหนก็ไม่รู้นักแสดงสมัยก่อนเราจะเห็นตัวอย่างได้จากหลายคนที่ยังคงมีงานอยู่อย่างต่อเนื่องด้วยการรักษาคุณภาพและความรับผิดชอบของเขา

รักในเส้นทางบันเทิงสายนี้

25 ปี บนเส้นทางสายบันเทิง สิ่งที่ได้ก็คือสังคมได้ประสบการณ์ได้ข้อคิด ได้วิธีการดำเนินชีวิตจากผู้คนที่รักใคร่กันอยู่ในความเป็นพี่น้องที่อยู่ในวงการนี้มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เราไม่สามารถอยู่ในสังคมไหนได้ด้วยตัวเองแล้วรอดปลอดภัยมาถึงยี่สิบกว่าปีได้ ถ้าเราไม่มีคนที่เรารักหรือว่าคนที่รักเราเกื้อหนุนจุนเจือเจอแต่เราโชคดีที่มาอยู่ในอาชีพนี้ที่เรารักและชอบแล้วก็มีคนที่รักเป็นห่วงเป็นใยเราเยอะมากๆ เลยรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่เรามีความสุขอยู่กับอาชีพนี้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีเงินมีรายได้มากมายเป็นล้านเหมือนเราทำธุรกิจ แต่ว่าเราก็มีความสุขกับการที่เราได้เจอคนได้ไปกองถ่ายได้เจอรุ่นพี่รุ่นน้องยิ่งลูกเราก็มาอยู่ในสายเดียวกันแล้วทุกคนรักและเอ็นดูเขาเราก็รู้สึกดี

มากกว่าคำว่าขอบคุณ สำหรับบุคคลเหล่านี้

จริงๆ ก็แทบจะทุกคนที่เป็นครูบาอาจารย์เราในสายของการแสดงก็มี“อาจารย์สดใส พันธุมโกมล” อาจารย์ที่สอนการแสดงท่านแรกและท่านเดียวเลย“อาจารย์ฮันส์ เฮอดินัลด์” ที่สอนคู่มากับอาจารย์สดใสส่วนถ้าเป็นสายงานด้านพิธีกรก็จะเป็น “พี่ต๋อย-ไตรภพ”ที่เราไปทำพิธีกรกับกันตนาได้เจอพี่ต๋อยทีไรก็บอกก็สอนเราด้วยความเอ็นดูและรักเรา ส่วนทางสายละครก็ต้องขอบคุณ “พี่สุชีรา” ที่เป็นคนที่ให้โอกาสเราในการเอาเรามาเล่น “พี่บอย-ถกลเกียรติ” ที่ให้โอกาสเราได้กลับมาทำงานในแวดวงบันเทิงเรื่อยๆ “พี่สถาพร นาควิไลโรจน์” ก็เป็นคนที่พอเราเอาลูกไปแคสละครแต่ลูกยังไม่ได้ก็ให้เอาพ่อมาเล่นก่อนในช่วงที่เราหายไปนานพี่ถาเป็นคนที่เอามาเล่นละครให้กับไทยพีบีเอส จนเริ่มมีคนเห็นบทบาทของเรา มันเกิดจากที่ทุกคนให้ความรักความเมตตากับครอบครัวเรา ต้องบอกว่าทั้งครอบครัวเลยจริงๆ

สำหรับผมเองก็จะยังคงจะเล่นละครต่อไปเรื่อยๆ และวางไว้ว่าอยากเปิดโรงเรียนสอนการแสดง แต่เราก็ประสบการณ์ยังไม่มากพอ อาจจะเคยทำรายการเกี่ยวกับเด็กเป็นผู้กำกับรายการเด็กมาบ้างเพื่อนก็ชวนไปทำผู้ช่วยผู้กำกับนะแต่ว่าขอดูก่อนว่าศักยภาพเราไหวไหม ซึ่งเราก็คงจะทำมาหากินในทางนี้แหละมันอยู่กับเรามา 25 ปีแล้วเหลือแต่ว่าเราจะเรียบเรียงถ่ายทอดออกมายังไงเท่านั้นเอง

กุหลาบสีเงิน

Leave a comment