ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/261013
วันอาทิตย์ ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
เป็นครั้งแรกของผู้เขียนสำหรับการพูดคุยเปิดใจกับ “แหม่ม-อลิษา ขจรไชยกุล” นักแสดงสุดแกร่ง ที่ไม่ว่าการพูดคุยนั้นจะเป็นประเด็นชีวิต สุขหรือเศร้าดราม่าสักแค่ไหน แต่กลับมีเสียงหัวเราะจากเธอแทรกตลอดการสนทนา “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้เปิดพื้นที่ให้เธอได้เผยทุกซอกมุมของชีวิต
กับสิ่งที่ทำในตอนนี้?
หลักๆ คือเป็นแม่ค้าค่ะ ขายอาหารตามสั่ง งานละครมีบ้างประปราย ซึ่งก็ถ่ายทำปิดกล้องไปแล้วค่ะ กับการเป็นแม่ค้านี่ต้องยึดเป็นอาชีพเลย เพราะว่าเมื่อทางสายบันเทิงมันตัน ด้วยความใหญ่ของดิฉันเอง (หัวเราะ) เลยจำเป็นที่จะต้องเบนเข็ม อาหารตามสั่ง เมนูเราก็มีเกือบทุกอย่าง แล้วก็จะมีเมนูที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเอง อย่างเช่น ไข่เจียวมหา’ลัย ซึ่งกินแล้วคุ้ม คือร้านเราจะเน้นกินแล้วคุ้ม จานใหญ่ดี ให้เยอะ อิ่มราคาถูก ลูกค้าเมื่อก่อนจะประปราย แต่ช่วงหลังพนักงานแบงก์จะมาเยอะ เที่ยงถึงบ่ายสองลูกค้าจะเยอะมาก ทำคนเดียวทั้งร้านค่ะ เด็กเสิร์ฟไม่มี ก็เลยจะเขียนป้ายบอกว่าทั้งร้านเราทำคนเดียวนะ ถ้ากินเสร็จแล้วช่วยเอาจานเอาแก้วน้ำไปวางไว้ในที่ที่เราจัดไว้ให้ด้วย ลูกค้าก็น่ารัก จะช่วยกันเก็บ โดยเป็นการแลกเปลี่ยน คือเราจะมีน้ำแข็งกับน้ำเปล่าไว้บริการฟรี

กิจวัตรประจำวันของแม่ค้าคนขยัน?
ไปจ่ายตลาดเองค่ะ ประมาณตีห้าก็ลงมาจัดร้านให้พร้อม แล้วตีห้าครึ่งก็จะไปตลาด ประมาณหกโมงถึงร้านมาเคลียร์ของสด พอสักเจ็ดโมงก็จะมานั่งกินกาแฟ ให้อาหารลูกสาวคือน้องหมา แปดโมงเริ่มขายค่ะ แล้วเราก็จะมีโต๊ะที่เอาป้ายไปติดไว้ว่าพร้อมขาย กี่โมงแล้วแต่ว่าวันนั้นจะพร้อมกี่โมง บางวันเจ็ดโมงครึ่งบางวันแปดโมง ทุกอย่างจะต้องชัดเจนสำหรับลูกค้า เพราะเราไม่อยากให้ลูกค้าเห็นเราหน้างอ ถ้าเรายังไม่พร้อม จะหยุดทุกวันเสาร์อาทิตย์ คือเป็นความตั้งใจของตัวเองเลยว่า ปีนี้จะหาความรู้ใส่ตัวเองเป็นหลัก คือทุกวันอาทิตย์จะไปเรียนทำอาหารเพิ่ม เอาใส่หัวไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน ด้วยความที่ค่าเรียนไม่แพง และมันเป็นสูตรที่บางทีเรารู้อยู่แล้ว แต่เราอยากได้เป๊ะ คือตัวเองเป็นคนที่ทำอะไรต้องเป๊ะ อยากจะเอามาพัฒนาอาหารที่เรามีอยู่ และอีกส่วนหนึ่งก็คือถ้ามันอยู่ตัวแล้ว ก็อาจจะยุบร้าน และออกตลาดนัดเอา สมมุติว่าเราโชคดี เรามีละคร เราเซ็ตได้ แต่ถ้าร้านเราหยุดไปเราก็จะเกรงใจลูกค้า
ความเป็นหญิงไทยและเสน่ห์ปลายจวัก ?
เป็นคนชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ คือที่บ้านจะเลี้ยงดูมาแบบโบราณ ลูกสาวจะต้องรู้ว่านี่ ใบกะเพรา นี่โหระพา นี่ใบแมงลัก เขาจะให้เป็นแล้วก็ไปต่อยอดเอาเอง เลยทำอาหารได้มาตั้งแต่เด็กๆ แต่ว่าไม่ได้แตกฉานเหมือนตอนนี้ คือปัจจุบันนี้เราก็ค่อยๆ เรียนรู้เอาชอบอะไรอยากทำอะไรก็ลองไปหาร้านกิน แล้วมาลองทำ กินไม่ได้ก็ทิ้งไป เราจะอาศัยการจำ อย่างถ้าอยากได้สูตรอาหาร บางทีเดินเข้าเซเว่นเปิดหนังสืออ่าน สักพักมันก็จะอยู่ในหัวหมด กลับมาถึงบ้านเราก็จะจดไว้ อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นความชอบของเรามั้งคะ เลยทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว
ย้อนเส้นทางการเป็นแม่ค้า?
เริ่มค้าขายครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ร้านหรูหราเลย คือเป็นร้านข้างทาง เป็นบูธเล็กๆ หน้าตึกเช่ารายวัน วันละร้อย ขายสลัดผัก แล้วก็มาเป็นสับปะรดภูแล แล้วเขาก็จะมีเป็นฤดูกาล หน้านี้ร้อนมากไม่มีของ เราก็เลยลงทุนกัดฟันซื้อแก๊สปิคนิคขายข้าวไข่เจียว ที่ร้านเดิมค่ะ แต่เพิ่มเติมคือเรามีข้าวไข่เจียว พอหน้าร้อน เราก็มีน้ำผลไม้ปั่น เอาทุกอย่าง หน้าร้อนน้ำผลไม้ปั่นจะขายดีเลย ข้าวไข่เจียวก็จะได้ทุกวัน แล้วเราก็จะแตกไปว่าเป็นไข่เจียวประถมมัธยม มหา’ลัย ตั้งชื่อเมนูเป็นการดึงดูดใจลูกค้า เขาก็จะถามว่าไข่เจียวมหา’ลัยคืออะไร ก็จะบอกว่าฉันใส่ทุกอย่างที่มีในร้าน (หัวเราะ) ห้ามเลือกกิน ถ้ามหา’ลัยจะมาเลือกว่านั่นไม่เอาไม่ได้นะเดี๋ยวเคือง เราใส่หมดทุกอย่างที่มีแล้วแต่อารมณ์

หลากหลายกระแสจากเสียงวิจารณ์?
ขายทั้งน้ำตา บางคนก็ทักดี บางคนก็ทักแรง ไม่มีงานเหรอ ทำไมถึงมาขายอย่างนี้ แรกๆ ก็มีตอบโต้ ยอมรับเลย เพราะเราก็คือมนุษย์เนาะ ก็มีอารมณ์บ้าง แต่ว่าหลังๆ จะมองแล้วไม่รู้สึกอะไร เงียบ ช่วงนึงจะเก็บเอามาคิดมาก แต่ก็นึกซะว่ามันจะดีกว่าไหม ถ้าเราไม่ไปรบกวนคนรอบข้างเราเลย เราพยายามช่วยเหลือตัวเราเอง แล้วก็ตัดวงจรไม่กินไม่เที่ยวสังคมทุกอย่าง อะไรที่จะต้องใช้เงินตัดออกไป ก็เหมือนกับตีกรอบตัวเอง ส่วนเรื่องสุขภาพตอนนั้นก็โอเค มันจะมีแค่ปวดข้อ แล้วก็มาเจอความดันสูง แต่เรามีประกันสังคมค่าใช้จ่ายมันก็เลยโอเค คือเราไม่ต้องควัก เราก็ไปตามที่หมอนัด ไม่มีปัญหา ควบคุมทุกอย่าง จะมีบ้างปวดหัวตัวร้อนบ้าง แต่ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อไม่มี
รู้สึกท้อกับการนำเสนอข่าวของสื่อที่บิดเบือนความเป็นจริง?
คือถามว่ามันลำบาก มันทุกข์ไหม มีค่ะ แต่ว่ามันไม่ได้ถึงกับต้องใช้คำว่า อเนจอนาถ จะบอกว่าไม่ให้สัมภาษณ์มานานแล้ว เพราะด้วยการจั่วหัวของสื่อบางสำนัก เราก็อยากให้เขาดูคนที่กำลังไปถามด้วย เพราะว่าโดยส่วนตัว แหม่มเป็นคนที่เวลาใครมาเจอ เราจะให้เขาเห็นในมุมที่ไม่ทุกข์ไม่ร้องไห้ให้เขาเห็น แม้ว่าเราจะขึ้นไปกอดหมาร้องไห้ มันก็คือภาพที่ไม่มีใครเห็น เพราะเรารู้ว่าคนที่เขามาคุยกับเรา เขาก็ทุกข์อยู่แล้ว เราต้องฮาใส่ จะบอกกับทุกคนว่าเจอฉันจะต้องมีรอยยิ้มนะ อย่างน้อยๆ ให้คนเกลียดเราน้อยลงคือเราก็เป็นมนุษย์ บางทีก็โมโห บางทีพาดหัวข่าวแล้วเพื่อนหรือว่าคนที่รู้จักเขาก็จะเข้ามาถามว่า ทำไมเขียนแรงจังเลย ชีวิตอลิษาอเนจอนาถต้องขายข้าวแกงขายอาหารตามสั่ง เราไปบอกทุกคนไม่ได้ เลยแก้ปัญหาด้วยวิธีการ ดูหัวหนังสือ ดูผลงานเขา ถามว่าเราอยากเป็นข่าวไหม บางทีมันก็ดี เพราะว่าก็มีแฟนคลับที่ยังอยากเห็นเราอยู่ว่าเป็นยังไงบ้าง ซึ่งหนังสือพิมพ์แนวหน้าก็บอกผ่านมาทาง “หล” ที่เป็นน้องรัก และรู้จักกันมานาน เราก็เลยโอเค ยอมที่จะมาคุยในวันนี้ อยากให้เป็นแนวสู้ๆ เพราะว่าคนยุคนี้ มีความเปราะบางของอารมณ์ สังคมต้องการกำลังใจ คือมองมุมมองในแง่ดี เขาอยากจะช่วยเรานะ แต่ว่าด้วยที่ที่เราอยู่การมาให้ความช่วยเหลือมันจะน้อย ตอนนี้โลกโซเชียลมันเยอะ เราอาจจะไม่ได้แฮปปี้สุดๆ แต่เราก็ใช้ชีวิตให้อยู่เป็น กับสภาวะที่เราเป็นอยู่ อะไรที่มันจะทำให้เราต้องกลับไปทุกข์ หลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยง เมื่อก่อนมีร้อย ใช้ร้อยห้าสิบ เดี๋ยวนี้มีร้อยใช้สักห้าสิบ เก็บไว้ เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะป่วย ถึงแม้ว่าเราจะมีอะไรมารองรับ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเยอะหรือจะน้อยมันเหมือนกับว่าทุกอย่างมันสอน เป็นสเต๊ปอายุจนวันนี้เลขห้าแล้ว ถ้ายังคิดอ่านไม่ได้ มันก็ไม่ไหวจะให้ความสุขกับตัวเองคือเดือนละสองพัน เราจะทำอะไรก็ได้ แต่อีกแปดพันอย่าไปยุ่งกับเขานะ

ย้อนวันวาน กับอาชีพ ในฝัน ?
อยากเป็นดารา อยากเป็นแอร์โฮสเตส แล้วก็อยากเป็นนางงาม ซึ่งที่เอ่ยมานั้นยังไม่ได้เป็นแอร์เท่านั้น เพราะว่าหูเสีย ซึ่งการที่ได้มาเป็นนางงามนั้นก็เพราะว่าน้า (คุณชาญ ขจรไชยกุล) ทำร้านเสริมสวย แล้ววันนั้นนางงามขาด หันมาเห็นหลานตัวเอง ตอนนั้นอยู่ที่ศรีราชาก็เลยจับเราให้แต่งตัวขึ้นเวทีประกวดได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่เวทีแรกก็ได้ตำแหน่งเลยนะได้ที่ 2 อายุตอนนั้นก็ยังสิบกว่าเอง ประมาณ ป.5 ป.6 แต่ด้วยความที่เราเป็นลูกครึ่ง เราก็เลยดูโตเป็นสาวกว่าเพื่อน เราเองก็ไม่ได้หวังอะไรหลังจากนั้นก็เดินสายไปเรื่อย ได้รางวัลติดมือกลับมาบ้างไม่ได้บ้าง เรียกว่านางงามร้อยเวที ถ้าเอาถ้วยรางวัลมาทำรั้วบ้านนี่คือได้นะ (หัวเราะ) ได้ตำแหน่งมาเป็นร้อยเวที รางวัลใหญ่ๆ ก็มีนางงามวิสุทธิกษัตริย์ และเวทีใหญ่ที่ได้ไปคือ มิสเวิลด์ นางงามโลก ซึ่งปีนั้นบ้านเราเขาไม่จัดประกวด ก็เลยสุ่มนางงามจากเวทีต่างๆ ก็ได้ไปประกวดที่ประเทศอังกฤษ ร้องไห้ตลอดน้าต้องออกตั๋วเครื่องบินเอง เพื่อตามไปดูเรา และแต่งหน้าให้ เพราะว่าภาษาเราก็ไม่ได้ ก็เป็นประสบการณ์ที่มีความสุขนะ แม้ว่าจะไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลย คิดถึงช่วงเวลานั้นทีไรก็รู้สึกมีความสุข ที่ว่าน้อยคนจะมีโอกาสได้ไปแบบนี้ แล้วหลังจากนั้นเวทีต่อไปทางจังหวัดเขาก็ให้ลงประกวดนางสาวไทยปี “สาวิณีปะการะนัง” เราก็ไม่อยากลงหรอกเพราะรู้สึกว่าเราชนเพดานแล้ว แต่เขาให้ลงในนามจังหวัดชลบุรี ก็ผ่านเข้าไปถึงรอบ 10 คนสุดท้ายสวยสุดที่คัดทิ้ง (หัวเราะ) ปีนั้นคือเขามีประเด็นกัน
อีกหนึ่งอาชีพที่ได้ทำฝันให้เป็นจริง ?
คือไปเห็น “พี่จิ๋ม” (มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช)เขาประกาศรับสมัครนางเอกใหม่ เราก็เขียนประวัติส่งเข้าไป เขียนไม่มากแค่ 5 บรรทัดเอง แล้วพี่จิ๋มก็มาพูดตอนหลังว่าอยากเห็นหน้าเพราะว่าเขียนสั้นมาก คนอื่นเขามากันกระดาษ A4 สี่หน้าบรรยายสรรพคุณตัวเองกัน แต่ดิฉันมาแผ่นเดียวแล้วรูปสองใบ หลังจากนั้นพี่จิ๋มก็ให้ลงละครเรื่อง เบญจรงค์ห้าสี นางเอกมีห้าคนพี่ตุ๊ก-เดือนเต็ม, พี่ตั๊ก-มยุรา, พี่จุ๋ม-อุทุมพร, พี่อี๊ด- ดวงใจ แล้วก็เรา เรื่องนี้ถือเป็นการแจ้งเกิดในฐานะนักแสดงเลย ทุกคนจะเรียกเราว่า “พวงแสด” ห้าคนเราเป็นน้องเล็กโดยสี่นางเอกช่วยดันเรา คือสมัยก่อนสี่ท่านบิ๊กบึ้มมากนะ แหม่มไม่มีคู่ขวัญค่ะ เล่นไปหลากหลายมาก นก-ฉัตรชัย, เกม-สานติ, เป็นหนึ่ง ไชยชิต แต่ว่าคู่ที่ฮอตที่สุดก็น่าจะเป็นกับ พี่ตู่-นพพล เรื่อง “หัวใจสองภาค” ช่อง 7 ดังมาก

ชีวิตการเป็นนักแสดง เหมือนที่ฝันไว้ตอนเด็กไหม?
เราก็ไม่เคยมีความคิดว่าวงการมันจะเป็นยังไงนะอาจจะเป็นมโนของเด็กวัยรุ่น แต่จริงๆ แล้วการต่อสู้มันสูงมาก ต้องแข่งขันทุกอย่าง การแข่งขันอย่างแรกเลยคือรูปร่าง ห้ามอ้วน เพราะว่าคนไทยเราจะดูหุ่นรูปลักษณ์เป็นสำคัญ แต่ฝรั่งเขายิ่งแก่ จะยิ่งแพง ยิ่งมีค่ายอมรับว่าตอนที่เป็นดาราเราต้องพยายามควบคุมหุ่นตัวเอง มันก็เลยไปถึงยาลดน้ำหนัก ทำให้มีผลต่อสุขภาพ เพราะกินมาอย่างต่อเนื่องและยืดยาว ส่งผลในเรื่องของน้ำหนักเยอะ แต่ว่าเรื่องโรคภัยไม่เยอะ
ผลงานการแสดงเรื่องล่าสุด ?
มีเรื่อง “คุณย่าดอทคอม” ทางช่องทรูฟอร์ยูเล่นเป็นคุณย่าที่ธรรมะธัมโม คอยให้คำปรึกษาลูกหลานรอบข้าง เป็นการทำงานที่สนุกสนาน เจอนักแสดงรุ่นใหญ่หมดเลย เจอคนที่แบบเราอยู่วงการนี้มา 20 กว่าปีแต่เราไม่เคยเจอ อย่าง คุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์,พี่ตุ๋ย-นวลปรางค์, พี่จิ๊ก-เนาวรัตน์ หรือ ดี้-ปัทมาที่ก็เจอกันบ้าง ซึ่งทุกคนน่ารักหมด งานละครตอนนี้ก็คือมีบ้างประปราย จริงๆ เราก็อยากจะให้มันเป็นอาชีพหลักนะ แต่ว่าผู้จัดเขาไม่หลักกับเรา เขายังคงซึ่งคาแร็กเตอร์ต้องผอม ก็เลยคิดว่างั้นก็แล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วกัน แต่ว่าเราก็ยังคงมีร้านอาหารที่ทำอยู่ (แอบน้อยใจบ้างไหม ?) มีบ้างนะ ถ้าจะบอกว่าไม่เลย ก็ไม่ใช่ มีบ้างที่ว่าทำไมไม่มองเราที่ความสามารถ ทำไมไม่ให้โอกาสล่ะ แต่อยู่ตรงนี้และเวลามีการติดต่อเข้ามา เราก็จะบอกว่าเราไม่ผอมนะคะ บอกก่อนเลย มาดูตัวจริงไหม เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย คือเราก็ไม่แฮปปี้ที่เวลาไปกองแล้วจะต้องมาโดนเหน็บโดนว่า เพราะว่าเป็นคนที่มีความอดทนมากขึ้น แต่ถ้ามันถึงจุดนึงก็จะไม่ทนจะสวนเลยนะ ไม่สนเลยว่าคนที่พูดอยู่เล็กหรือใหญ่ เพราะเรารู้สึกว่านี่คือสิทธิ์ ไม่เป็นไรค่ะเพราะดิฉันอ้วน สวยและรวยมาก(หัวเราะ)

อยู่คนเดียวมันเหงานะ?
ก็ผู้ชายบอกว่าถ้าผอมเมื่อไหร่แล้วเขาจะมาก็เลยบอกว่าถ้าฉันผอม ฉันก็ไม่เลือกคุณหรอก (หัวเราะ)รู้สึกว่าคนเราถ้ามันรักที่เปลือก คุณก็ได้เปลือกคุณอย่าลืมว่ามันคือสังขาร มีคนพูดแบบนี้เยอะ ล่าสุดมาเจอกัน พูดแล้วก็หายไปเลย ดิฉันก็ไม่ได้สนใจลบทุกอย่างออกไปเลยค่ะ ถามว่าเหงาไหมมันก็แอบมีเหงาบ้างแหละ มีนั่งร้องไห้คิดว่าทำไมชีวิตเราเป็นแบบนี้นะแต่พอต้องมานั่งเลี้ยงน้องหมา มันก็หมดเวลาคิดแล้ว อยู่คนเดียวมี “ไข่เจียว” เป็นเพื่อนก็มีความสุขในแบบเราเองแล้วค่ะ ลูกสาวชื่อไข่เจียวค่ะน่ารักไหม คือทุกอย่างถ้าเราคิดเป็น อ่านเป็น เข้าใจในชีวิตมากขึ้น มันจะมีความรู้สึกว่าถ้าตรงนี้เราทำแล้วเรามีความสุขใครจะมองยังไงไม่รู้ เราพอแค่นี้ ความรัก การมีแฟน เราก็ผ่านมาหลายรูปแบบ เมื่อไม่ใช่ก็ให้มันผ่านไปถามตัวเองว่าแล้วจริงๆ ชีวิตคืออะไร ชีวิตเรามันจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ อยู่ตรงนี้ก็หาเอง ใช้เอง และเผื่อเก็บไว้ยามแก่ เพราะว่าเราไม่มีลูก ถ้าไปอยู่กับหลานก็ไม่รู้ว่าใครจะเลี้ยง ก็คิดไปว่าก็บริจาคร่างสิคะ เป็นอาจารย์ใหญ่ ซึ่งกำลังจะคุยกับแม่ค่ะ แต่ก็แอบกลัวนะว่าถ้าเราบริจาคไปแล้ว เขากำลังจะผ่าหัวเข่าแล้วเราลุกขึ้นมาล่ะ เราเจ็บนะ (หัวเราะ) เพราะเป็นคนที่กลัว
เป้าหมายในอนาคตอันใกล้นี้ ?
ก็ว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ ลองดูอีกสักรอบนึง อยากเล่นละครอีกสัก 3-4 เรื่อง เพื่อมันจะได้บ้านหลังเล็กๆ หลังนึงที่ศรีราชา แล้วก็จะกลับไปอยู่ที่นั่น คือในตรงนั้นเป็นที่ของพี่สาวเราอยากจะไปเปิดร้านอาหารเล็กๆแล้วทำกันพี่ป้าน้าอา แต่เราต้องมีเงินไปลงตรงนั้นก่อน และเราต้องสร้างบ้าน เพราะเรามีหมาจะไปอยู่รวมกับใครก็คงจะไม่ได้ ณ เวลานี้ร้านอาหารที่เป็นอยู่ถ้าเราไปเรียนทำอาหารเพิ่ม เราก็จะได้เปลี่ยนแนวได้อย่างที่บอกในตอนต้นค่ะ ส่วนงานละครถ้ามีผู้จัดท่านใดสนใจ ก็ติดต่อเข้ามาได้ แต่ว่าดิฉันอ้วนนะ มันจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย เราไปกองเราก็เต็มร้อยอยู่แล้ว

ความในใจที่อยากจะบอก?
ก็จะมีแฟนคลับส่วนหนึ่งที่ยังตามกันในหน้าเฟซบุ๊ค แล้วก็แฟนเพจของคนรักหมา ก็ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ เราก็พยายามเอาสิ่งดีๆ กำลังใจดีๆ คำพูดดีๆ มาใส่ตัวเอง บอกตัวเองทุกวันว่าสู้ๆ และอยากให้แฟนคลับทุกคนสู้ๆ เหมือนกัน ถ้าอยากจะมาเจอกันก็มาได้ที่เมืองทองธานี คอนโดเมืองทองตึกไพลิน 2 แต่ว่าเก็บเร็วนะคะ บ่ายสองครึ่งพับโต๊ะค่ะ ไม่ใช่หมดนะแม่ค้าเหนื่อย ชื่อร้านแหม่ม ลิษา และอยากจะฝากว่า ณ ปัจจุบันนี้กำลังใจเป็นสิ่งที่ดีการซ้ำเติมควรจะหยุดนะ บางทีมันทักแล้วไม่รู้จะทักอะไรก็ไม่ทักดีกว่า อย่างเรื่องรูปร่างที่บางทีเราได้ยินเยอะๆ ประเด็นที่มันฝังอยู่กับตัวเองมากที่สุดในตอนนี้คือเรื่องอ้วน แต่ว่าไม่เอามันมาทุกข์ ก็อยากให้ทุกคนมองไปข้างหน้า แล้วให้คิดว่าที่เขาเป็นอยู่ปัญหาของแต่ละคนเขาก็ทุกข์อยู่แล้ว อย่าไปใส่ให้เขาอีกเลย สู้ๆ กับชีวิตกันดีกว่า เพราะสังคมทุกวันนี้เปราะบางมาก
กุหลาบสีเงิน
