ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/267247
วันพุธ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560, 11.53 น.
26 เม.ย.60 นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ 1/2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นประธานการประชุม นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำนโยบายการลดพื้นที่ปลูกยางและเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น พร้อมกับย้ำต่อที่ประชุมว่า ราคายางพาราในขณะนี้ อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ขอให้ใช้เวลานี้ให้เกิดประโยชน์ในการปรับโครงสร้างทางการเกษตรเรื่องของยางพาราให้เข้ารูปเข้ารอยให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามการประชุมครั้งนี้ที่ประชุมเห็นชอบให้ขยายเวลา โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพาราภายใต้แนวทางยางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวได้สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา แต่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรบางส่วนยังไม่สามารถคืนเงินให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องขยายระยะเวลาออกไปจนถึง 31 มีนาคม 2563 จะได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
พร้อมทั้งขยายเวลาโครงการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่งมีการช่วยเหลือไปแล้วแบ่งเป็น เจ้าของสวนยาง จำนวน 711,839 ครัวเรือน และ คนกรีดยาง จำนวน 675,790 ครัวเรือน ยังมีเกษตรกรที่เข้าข่ายได้รับสิทธิ์ยังตกค้างอยู่อีกประมาณ 11,460 ครัวเรือน ที่ประชุมจึงอนุมัติให้มีการขยายระยะเวลาโครงการเวลาออกไปอีก 90 วัน นับถัดจากวันที่ ครม. มีมติเห็นชอบ รวมไปถึง โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ที่ประชุมมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาไปถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เพื่อให้กระบวนการดำเนินงานทั้งหมดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ โครงการทั้งหมดจะถูกนำเข้าในที่ประชุม ครม. เพื่อผ่านความเห็นชอบอีกครั้ง
นอกจากโครงการที่สนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรแล้ว ที่ประชุมได้อนุมัติ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายในโครงการนี้เป็นกลุ่มผู้ประกอบการแปรรูปน้ำยางข้น เนื่องจากอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี 2558 ประเทศไทยผลิตยางพาราได้ประมาณ 4.47 ล้านตัน มูลค่าส่งออกรวมประมาณ 4 แสนล้านบาทเศษ เป็นรายได้ที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศไทย ซึ่งสถานการณ์การผลิตและการใช้ยางพาราของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกเผชิญปัญหานั้น พบว่าปริมาณการผลิต และปริมาณการใช้ยางพาราไม่สมดุลกัน เกิดความผันผวนของราคายางตั้งแต่ปลายปี 2554 จนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นเพื่อให้การแก้ไขปัญหาราคายาง และเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมลดภาระงบประมาณของรัฐบาล โดยอาศัยความร่วมมือจากผู้ประกอบกิจการยางให้มีการการดูดซับยางพาราออกจากระบบนำมาเก็บสต็อกของผู้ประกอบการในลักษณะหมุนเวียน (moving stock) เป็นการลดปริมาณยางในตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ราคายางในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีเสถียรภาพมากขึ้นอันจะเป็นผลดีต่อรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยางที่เพิ่มขึ้น สำหรับโครงการสนับสนุนสินเชื่อ เป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง โดยรัฐบาลจะสนับสนุนด้วยการชดเชยดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 3 กับผู้เข้าร่วมโครงการฯ หรือคิดเป็นเงินช่วยเหลือจำนวนไม่เกิน 300 ล้านบาท จากวงเงินกู้ 1 หมื่นล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการที่กู้เงินธนาคารใดๆ ก็ตาม เพื่อเป็นการผลักดันราคายางให้สูงขึ้น
ผู้ว่าการ กยท. กล่าวถึงประเด็นปัจจัยพื้นฐานของยางธรรมชาติในตลาดโลก ปี 2560 พบว่า ปัจจุบันปริมาณการใช้ยางของโลกมีอยู่ประมาณ 12.7 ล้านตัน เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณสต๊อกยางในตลาดโลกในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 มีอยู่ประมาณ 2.3 ล้านตัน คาดว่ายังมีความต้องการใช้มากกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน และเมื่อเปรียบเทียบราคายางในขณะนี้กับปีที่แล้วพบว่าสูงขึ้นกว่า 100% โดยราคายางแผ่นรมควัน ชั้น 3 ในเดือนมกราคมปีที่แล้ว อยู่ที่กิโลกรัมละ 30-40 บาท แต่ในที่ช่วงนี้ ราคายางอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 70 กว่าบาท ทั้งนี้ช่วงที่ผ่านมา ราคายางอาจมีความแกว่งตัว ซึ่งมีสาเหตุจากการเก็งกำไรล่วงหน้า ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงเป็นบวก จึงขอฝากให้ติดตามข้อมูลและสถานการณ์ยางพาราอย่างใกล้ชิด
