ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/267315
วันพฤหัสบดี ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.
สถานการณ์การผลิตข้าวใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2559 มีพื้นที่เพาะปลูกจำนวน 524,562 ไร่ และพื้นที่เก็บเกี่ยว 520,300 ไร่ มีผลผลิตรวม 91395 ตัน และมีผลผลิตเฉลี่ย 409 กิโลกรัมต่อไร่ เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตค่อนข้างน้อย ในขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงและปัญหาโรคแมลงศัตรูข้าวมีแนวโน้มการระบาดรุนแรงมากขึ้น
นายจตุรงค์ พรหมวิจิต นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการพิเศษ สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา กรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า การผลิตข้าวในภาคใต้ตอนล่าง มี 2 ประเภท คือผลิตเพื่อบริโภคและผลิตเพื่อการค้าโดยเกษตรกรที่ผลิตเพื่อบริโภคมักจะใช้ข้าวพันธุ์พื้นเมืองเป็นหลักเช่น ข้าวสังข์หยด ข้าวพันธุ์มาเลย์ซีบูกันตัง ข้าวเล็บนก และมีการใช้ข้าวพันธุ์ส่งเสริมบ้างเช่น ข้าวหอมปทุมธานี 1 เป็นต้น ข้าวที่ผลิตเพื่อบริโภคเกษตรกรจะตากแดด 2-3 แดดและเก็บรักษาไว้ในโรงเรือน ส่วนเกษตรกรที่ผลิตเพื่อการค้าจะใช้พันธุ์เฉี้ยงพัทลุง หอมปทุมธานี 1 ชัยนาท 1 พิษณุโลก 2 ตระกูล กข เช่น กข 5 29 34 และ 47 เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าวเมล็ดแข็ง ที่ผู้บริโภคไม่นิยม เกษตรกรส่วนใหญ่จะจำหน่ายที่หน้าแปลง ไม่มีการตากแดดเพื่อลดความชื้น หรือการเก็บไว้ในยุ้งฉางเพื่อชะลอการจำหน่าย ทำให้เกษตรกรมักถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อทุกปีดังนั้นเกษตรกรจะต้องปรับแนวคิดการทำนาใหม่ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว เพื่อการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ด้วยการการลดต้นทุนการผลิตข้าว โดยมีแนวทางปฏิบัติคือ ลดการใช้อัตราเมล็ดพันธุ์และเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง เกษตรกรต้องใช้เมล็ดพันธุ์ที่ดีบริสุทธิ์ ไม่มีเมล็ดอื่นปลอมปน โดยปกติอัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับนาหว่านสำรวยประมาณ 14-15 กิโลกรัมต่อไร่ นาหยอดดินแห้งและหยอดน้ำตมอัตรา 8-10 กิโลกรัมต่อไร่ ลดการใช้ปุ๋ยเคมีโดยการใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินและการผสมปุ๋ยใช้เอง มีการประเมินตรวจวิเคราะห์ความอุดมสมบูรณ์ หรือการวิเคราะห์หาปริมาณธาตุอาหารในดินก่อนการปลูกพืช รวมถึงการปรับปรุงบำรุงดิน เป็นหัวใจหลักของระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ถ้าดินมีความอุดมสมบูรณ์ผลผลิตที่ได้จะดี มีคุณภาพสูง ต้นทุนการผลิตต่ำ โดยการใช้ปุ๋ยพืชสดเช่นปลูกปอเทืองและไถกลบเมื่อออกดอก แหนแดง สาหร่ายในนาข้าว และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เป็นต้น

นอกจากนี้ การรวมกลุ่มเพื่อการผลิต เช่น การใช้เครื่องจักรกล การซื้อปัจจัยการผลิต ในรูปนาแปลงใหญ่การทำนาในภาคใต้ตอนล่าง มีต้นทุนการผลิตที่สูง ปัจจัยที่สำคัญคือค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ยเคมีและการจ้างเครื่องจักรกลการเกษตรทั้งรถไถนา และรถเกี่ยวข้าว เนื่องจากเป็นปัจจัยที่มีราคาแพง และเกษตรกรมีความจำเป็นต้องใช้ การซื้อปัจจัยการผลิต และจ้างเครื่องจักรกลทางการเกษตร ถ้าต่างคนต่างซื้อและจ้างจะได้ราคาทั่วไปตามท้องตลาดแต่ถ้าเกษตรกรมีการรวมกลุ่มกัน หรือซื้อในรูปกลุ่ม จะมีอำนาจในการต่อรองด้านราคาให้ต่ำลงได้ เช่นการซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจากศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ของทางราชการ เกษตรกรจะได้ส่วนลดอย่างน้อย 5% ส่วนการซื้อปุ๋ย หรือการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรก็เช่นกันเกษตรกรสามารถต่อรองราคากับร้านค้าหรือบริษัทที่จำหน่าย หรือให้เช่าบริการเครื่องจักรกลในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดได้
ทั้งนี้ เกษตรกรทำนาในภาคใต้ตอนล่างมักประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด เนื่องจากสภาพปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ในขณะที่ผลผลิตต่อไรต่ำ ประสบกับภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง และปัญหาราคาข้าวตกต่ำจากข้ออ้างข้าวมีความชื้น และสิ่งปลอมปนสูง ดังนั้น
เกษตรกรทำนาในภาคใต้ตอนล่าง จึงควรปรับแนวคิดและวิธีการผลิตที่มุ่งเน้นเพื่อการบริโภค และแปรรูปเป็นหลัก ไม่เน้นการผลิตเพื่อการจำหน่ายข้าวเปลือกกับโรงสีและนายทุน ถึงแม้ว่าภาคไต้จะเป็นพื้นที่ที่ผลิตข้าวไม่เพียงพอกับผู้บริโภค แต่ไม่เป็นข้อได้เปรียบในการจำหน่ายข้าวได้ราคาสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ แต่การปรับแนวคิดการผลิตข้าวของเกษตรกรจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน โดยใช้วิธีการลดต้นทุนการผลิตดังที่กล่าวมา มีการจัดการพื้นที่ไม่ให้มีวัชพืช และสิ่งปลอมปนในผลผลิตข้าว มีการตากข้าวเปลือกเพื่อลดความชื้น จัดทำยุ้งฉางเพื่อพักเก็บและยืดอายุการเก็บผลผลิตให้นานขึ้น มีการแปรรูปผลผลิตเป็นข้าวสารและผลิตภัณฑ์จำหน่าย ในท้องถิ่นและพื้นที่ใกล้เคียง โดยอาจมีการรวมกลุ่มกันตั้งโรงสีข้าวในชุมชนเพื่อการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน เก็บข้าวในยุ้งฉางหรือหันมาแปรรูปทำการตลาดและจำหน่ายเอง จะช่วยลดปริมาณข้าวเปลือกในตลาดให้น้อยลง สามารถช่วยผลักดันให้ราคาข้าวเปลือกในตลาดเพิ่มสูงขึ้นอีกทางหนึ่ง

“การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน เป็นแนวทางที่เกษตรกรสามารถดำเนินการได้และสามารถแก้ปัญหาการทำนาได้อย่างสัมฤทธิผล แต่เกษตรกรจะต้องมีแนวคิดในการพัฒนาที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาของตนเองอย่างเป็นระบบ มีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคที่เป็นอยู่ ต้องมีความรู้เชิงวิทยาศาสตร์และระบบธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง จะต้องปรับเปลี่ยนระบบแนวคิดจากเดิมค่อนข้างชัดเจน มีการผลิตเชิงประณีตมีมุมมองการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก และใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบในการขับเคลื่อน”นายจตุรงค์ กล่าว
