แตกใบอ่อน : ต้องสนับสนุนการวิจัยพัฒนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/269556

วันพฤหัสบดี ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

807934531

หลังเสร็จสิ้น “พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ” ในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ ถือเป็นอาณัติสัญญาณว่า ฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ของไทยกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว “แตกใบอ่อน” จึงขอใช้โอกาสนี้ ร่วมส่งคำอวยพรไปถึงพี่น้องเกษตรกรทุกท่าน ให้ประสบความสำเร็จในการเพาะปลูก การทำปศุสัตว์ รวมทั้งเกษตรกรรมอื่นๆ และที่สำคัญขอให้ขายผลผลิตได้ราคากันอย่างถ้วนหน้าด้วยเทอญ… สาธุ

เกิดเป็นเกษตรกรไทยพ.ศ.นี้ บอกได้คำเดียวว่า “เหนื่อย” เพราะไม่เพียงแต่จะต้องกับผลกระทบจากสภาพอากาศอันแปรปรวน โรค แมลงศัตรูพืช ที่ดาหน้ากันมาระบาดอย่างหนักแล้ว ยังจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับปรุงคุณภาพการผลิตให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย มีสุขอนามัยที่ดี

ที่สำคัญ จะมาคิดกันเพียงแค่เรื่องการขายในรูป “วัตถุดิบ” อย่างเดียวล้วนๆ เหมือนในอดีตไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะสภาพเศรษฐกิจการค้าที่เชื่อมโยงกันไปทั่วโลก ทำให้อาจเกิดความเสี่ยงต่อการต้องเผชิญกับภาวะราคาผันผวนอย่างหนักดังเช่นที่เห็นกันมาแล้วหมาดๆ จากกรณีข้าวและยางพาราที่ทำเอาเกษตรกรบ้านเราแทบกระอักเลือด เพราะปัญหาราคาร่วงอย่างหนัก

โดยหนทางที่จะรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้ก็คือ ต้องหาทางแปรรูปเพื่อเพิ่มปริมาณการใช้วัถตุดิบในประเทศ และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าไปพร้อมๆ กันไปในตัว ซึ่งเรื่องนี้ถ้าผมจำไม่ผิด มีการพูดกันไว้มานานเป็นสิบปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่รัฐบาลก็แทบไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในเรื่องนี้

โดยเฉพาะการสนับสนุนการ “วิจัยพัฒนา” ทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน

ถามว่าทำไมการวิจัยพัฒนาถึงสำคัญ ผมขออนุญาตไม่อธิบายมากแต่อยากขอให้ดูบริษัท “ซัมซุง” ของเกาหลีใต้เป็นตัวอย่าง เพราะหากย้อนหลังไปสักประมาณ 20 ปีที่แล้ว แทบไม่มีใครจะคิดนะครับว่า “ซัมซุง” จะกลายเป็นบริษัทเทคโนโลยี “ยักษ์ใหญ่” ที่สามารถต่อกรกับบริษัทระดับโลกอื่นๆ ได้เหมือนทุกวันนี้

อย่าว่าแต่ระดับโลกเลยครับเอาแค่ก้าวข้ามบริษัทของญี่ปุ่นไปให้ได้ ยังแทบไม่ต้องคิดถึงเลย

แต่วันนี้เป็นยังไงบ้าง เราทุกคนก็ได้เห็นกันกับตา ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ “ซัมซุง” ประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้ ก็คือ “การวิจัยพัฒนา”

ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง แม้ที่ผ่านมารัฐบาลบ้านเราจะไม่ค่อยหือค่อยอือกับเรื่องนี้เท่าไร แต่ล่าสุด เห็นผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผมเห็นสัญญาณดีบางอย่างในเรื่องนี้ที่รัฐบาลเริ่มหันมามุ่งให้การสนับสนุนการวิจัยพัฒนาสำหรับภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรมขึ้น

โดยครม. มีมติเห็นชอบกรอบแนวทางการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สำหรับ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐและ “การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี” มีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย 1.กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เกษตร และเทคโนโลยี 2.กลุ่มอุตสาหกรรมสาธารณสุข สุขภาพ
และเทคโนโลยีทางการแพทย์ 3.กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และบังคับอุปกรณ์ต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว 5.กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง เพื่อเร่งสร้างงานวิจัยของประเทศอย่างเร่งด่วน

พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดตั้งคณะกรรมการสานพลังประชารัฐ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินการ เช่น การอนุมัติโครงการวิจัย และการขึ้นทะเบียนการเป็นผู้รับทำวิจัย และพิจารณาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย

ขณะที่บริษัทหรือนิติบุคคลที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ให้ดำเนินการวิจัยและพัฒนา จะสามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักเป็นรายจ่ายเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้สูงสุด3 เท่า เป็นระยะเวลา 3 รอบบัญชี สำหรับรอบบัญชีตั้งแต่ 1 มกราคม 2560-31 ธันวาคม 2562

น่าสนใจไหมล่ะครับ ผมว่าน่าสนใจนะ

ส่วนรายละเอียดและการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม จะทำได้กันขนาดไหน ก็ต้องติดตามกันต่อไป

ประเทศไทยเคยได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินเต็มไปด้วยทรัพยากร“ป่าไม้” ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่ในช่วงระยะเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ป่าไม้ของเรากลับถูกบุกรุกคุกคามจนลดลงอย่างต่อเนื่อง จากในปี พ.ศ.2516 ที่เราเคยมีพื้นที่ป่าไม้ทั่วประเทศถึง 138 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 43.2% ของพื้นที่ประเทศ แต่จากข้อมูลของกรมป่าไม้เมื่อปี 2558 กลับพบว่าเนื้อที่ป่าไม้ในบ้านเราลดเหลือเพียง 102 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 31.6% ของพื้นที่ประเทศเท่านั้น

หรือหากจะพูดให้ชัดเจนขึ้น ก็คือ ในช่วงเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้สูญเสียพื้นที่ป่าไปแล้วถึงกว่า 36 ล้านไร่!

ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราต้องสูญเสียป่าไม้ไปอย่างมากมายขนาดนี้ ย่อมหนีไม่พ้นปัญหาหลักเพียงไม่กี่อย่างที่เป็นสาเหตุหลัก นั่นคือ การลักลอบตัดไม้ การบุกรุกเพื่อแสวงหาที่ทำกินของประชาชน และการลักลอบเข้ามาถือครองพื้นที่เพื่อก่อสร้างรีสอร์ท บ้านพักตากอากาศ หรือผลประโยชน์อื่นๆ ของกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพลทางสังคม

นี่จึงสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการมาตรการต่างๆที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถกอบกู้วิกฤติและพลิกฟื้นผืนป่าให้กลับคืนมาอย่างเร่งด่วน!

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศ ได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ของประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินการกับกลุ่มผู้บุกรุก และแสวงประโยชน์ในการใช้พื้นที่ป่าไม้โดยมิชอบอย่างเด็ดขาด

โดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.), กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กรมสอบสวนคดีพิเศษ, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุกจริตในภาครัฐ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาสามารถดำเนินการทวงคืนผืนป่าได้แล้วจำนวน 349,000.76 ไร่ ฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ จำนวน 212,498.37 ไร่

ขณะที่มาตรการหนึ่งที่ พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เพื่อให้การบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาดังกล่าว มีศูนย์กลางในการประสานการปฏิบัติที่มีคุณภาพ มีความยั่งยืน และมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาช่วยเหลือในการวิเคราะห์และติดตามผลการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า” (ศปก.พป.) ประกอบด้วย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยมีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับ ศูนย์ปฏิบัติการของ กอ.รมน., เหล่าทัพ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และฝ่ายปกครอง โดยมีดำเนินงานภารกิจสำคัญประกอบด้วย

1.มุ่งเน้นในพื้นที่ที่ล่อแหลมต่อการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ที่มีนายทุนหรือผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง

2.คดีที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกพื้นที่ป่า รวมถึงการออกเอกสารสิทธิที่ดินที่มิชอบด้วยกฎหมายในพื้นที่ป่า

3.การทำไม้มีค่าที่กระทำเป็นขบวนการเพื่อลักลอบไปจำหน่ายต่างประเทศ

4.การลักลอบมีหรือค้าสัตว์ป่า

5.ลดกลุ่มอิทธิพลที่เกี่ยวกับเครือข่ายการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า

ทั้งนี้ การดำเนินการของ ศปก.พป. จะอยู่ภายใต้การกำกับของ “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพิทักษ์ป่า” ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การปฏิบัติของ ศปก.พป. มีเป้าหมาย และทิศทางที่ชัดเจน มีความสุภาพ โปร่งใส เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ บนพื้นฐานของการรักษาผลประโยชน์ของชาติ

อันจะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของรัฐบาล นั่นคือ“การทวงคืนผืนป่าให้กับแผ่นดิน” เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนตลอดไป

มะลิลา

Leave a comment