ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/265522
วันอาทิตย์ ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.
หากเอ่ยถึงศิลปินพื้นบ้านผู้ที่สร้างสรรค์การแสดงลำตัด ลำดับต้นๆ ของบ้านเรา หนึ่งในนั้นต้องมี “แม่ศรีนวล ขำอาจ” คู่ชีวิตของ “พ่อหวังเต๊ะ”สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ขอร่วมย้อนวันวานชีวิตที่น่าค้นหาของแม่ศรีนวล
“ตอนนี้ก็ยังรับงานแสดงลำตัดอยู่นะคะ ยังไม่ได้เลิก บางคนเขาบอกว่าหยุดแล้วเหรอ ก็อยากจะบอกว่าไม่ได้หยุดเลยนะคะ อาชีพเราและของที่เรารักจะหยุดไปได้ยังไง เพียงแต่ว่างานจ้างอาจจะน้อยลงไปบ้าง แต่ว่าก็ยังพอมี ถ้าช่วงไหนไม่มีงาน ก็จะอยู่บ้านทำงานบ้านทุกอย่างทำสวนให้อาหารปลา เมื่อก่อนบ้านอยู่นพวงศ์ พอพ่อหวัง (หวังเต๊ะ-หวังดี นิมา) เสีย แม่ก็ย้ายมาอยู่ที่บางเลน มีบ่อเลี้ยงปลา มีสวน ก็อยู่กับธรรมชาติ ชีวิตเราก็สดชื่นสดใสดี ได้เดินได้ทำงานทั้งวัน”
ถ่ายทอดลำตัดสู่เด็กรุ่นใหม่
นอกจากจะแสดงลำตัดแล้ว แม่ก็ยังรับสอนลำตัดด้วยจ้ะ สอนมานานแล้ว มีรับสอนที่บ้านและสอนที่มหาวิทยาลัย อย่างที่มหาวิทยาลัยก็จะมีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คลอง 6 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ และอีกหลายที่ เป็นเหมือนอาจารย์พิเศษสอนประจำเด็กนักศึกษาแต่ละคณะที่มาเรียนก็จะประมาณสามสิบคน หรือห้าสิบกว่าคนเป็นร้อยก็มี สำหรับการเรียนการสอนก็คือเราจะเริ่มสอนเขาตั้งแต่พื้นฐานเลยนักศึกษาเขาก็ให้ความสนใจและสนุกกับการเรียนรู้นี้มากนะ เราก็เลยมีความสุขไปด้วยสนุกด้วย เพราะว่าแม่สอนแม่จะไม่เครียด ก่อนสอนก็จะนั่งคุยกันก่อนเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยแลกเปลี่ยนกัน หลังจากนั้นก็ค่อยเริ่มเรียนกันกลอนลำตัดจะเป็นกลอนพื้นฐานสอนจนกว่าเขาจะร้องได้คล่อง เขาจะต้องร้องลำตัดของดั้งเดิมให้ได้ก่อน ถ้าจะถามว่าการร้องลำตัดยากไหมแม่ว่ามันไม่ยากนะคะ แม่ก็จะร้องให้ฟังแล้วให้เขาร้องตามไปค่อยๆ คลอไปเรื่อยๆ สามวันก็สามารถร้องลำตัดเป็นแล้ว วันที่สามสามารถขึ้นโชว์ได้เลย ไม่ยากอย่างที่คิดก็อยากให้เด็กๆที่สนใจลองมาฝึกกัน เราเห็นเขาเล่นได้ร้องได้ก็มีความสุข ไม่ได้ตังค์ก็มีความสุข (ยิ้ม) เรื่องเงินไม่เน้นเน้นที่ว่าต้องการจะถ่ายทอดให้กับลูกหลานมากกว่า

ยังคงสานต่อและอนุรักษ์ลำตัดสืบไป
แม้ว่างานจ้างจะน้อยลงแต่แม่คิดว่าลำตัดยังไม่เลือนหายไปเพราะว่ายังมีคนที่สนใจและหันมาเล่นลำตัดกันอยู่บ้าง มันไม่สูญหายเพียงแต่ว่ามันไม่เหมือนสมัยก่อนที่ฮือฮา มันก็จะค่อยๆ ไป แล้วทุกวันนี้ก็จะมีคนถามแม่ว่าเลิกแล้วเหรอแม่ก็บอกว่าไม่เลิก หลังจากนั้นเขาก็จะโทร.มาจ้างกันไป คืออาจจะด้วยว่าคณะเราไม่มีพ่อหวังแล้วและเขาคงเห็นว่าแม่แก่แล้วคงไม่เล่นแล้วมั้ง ก็พยายามหรือจะบอกว่ายัดเยียดก็ว่าได้ (หัวเราะ) ยัดเยียดตัวเองยัดเยียดทุกคนคือเด็กนักศึกษาด้วย ก็คือการสอนแม้ว่าจะเรียกเงินอะไรแต่แม่ไม่เอาอยากถ่ายทอดมากเลย ตอนที่พ่อเต๊ะเจ็บปีแรกเขาเคยพูดว่าถ้าฉันตายลำตัดจะสูญไหม เราก็ไม่ได้สนใจคือคนป่วยเขาก็คงพูดขึ้นมาลอยๆ จนมาอีกครั้งที่เขานอนโรงพยาบาลเขาก็พูดขึ้นมาอีกพร้อมน้ำตาก็ไหล เราก็เช็ดน้ำตาให้เขาจับมือและเข้าไปกอดไปหอมเขาและบอกว่าไม่เป็นไรไม่สูญหรอกฉันจะทำจนกว่าชีวิตฉันจะตาย ถึงฉันตายฉันก็จะพยายามให้ลูกน้องลูกศิษย์ลูกหาซึ่งฉันจะยัดเยียดให้เขา แม่ขอใช้คำว่ายัดเยียดเลยนะเพราะว่าไม่อยากให้ลำตัดนี้สูญหายไป
เอกลักษณ์เฉพาะของลำตัดคณะวังเต๊ะ
การแสดงเรา ป๋าจะขอไว้เลยว่า คำพูดหยาบคายร้องหยาบคายมันง่าย แต่ร้องที่จะให้คนติดเรา สนใจฟังเรามันยากนะ คำที่เป็นแบบสองแง่สองง่ามหักคอรอจังหวะจะมีซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของลำตัดอยู่แล้ว แต่เราต้องฉลาดร้องฉลาดเล่น แล้วหน้าตาสีหน้าเราก็ต้องมี ลูกเล่นด้วย ป๋าบอกว่ามันสำคัญที่หน้าตา ที่เราพาคนดูคนฟังให้เขาคิดไปไกล แต่จริงๆ แล้วเนื้อร้องเราไม่ใช่อย่างนั้น นี่แหละคือลูกเล่น ทุกคนก็ต้องมีไหวพริบ เพราะฉะนั้นเพลงเขียนมาต้องร้องต้องท่องให้ได้หมดทุกคน ถ้าคนนึงเกิดร้องติดไปไม่ได้เฉไฉไป อีกคนเขาก็จะเข้ามาเลย และต่อไปเลยต้องฉลาดไม่ใช่ว่าพอเขาติดแล้วทุกคนก็นิ่งเฉย แม่จะบอกเลยว่าทุกคนต้องท่องกันให้ได้ ลำตัดมีหลายคณะมีเยอะมากเดี๋ยวนี้พอร้องได้ก็ตั้งคณะแล้ว แต่ของเรานี่คือดั้งเดิม และเราไม่เล่นลูกทุ่ง คือสมัยก่อนเวลาเล่นลำตัดทีใช้เวลานานสองทุ่มถึงตีห้าหกโมงมันก็จะต้องมีลูกทุ่งเข้ามาแทรกด้วย เดี๋ยวนี้เล่นแค่สองชั่วโมง ป๋าก็ไม่เอาไม่ให้เล่นลูกทุ่ง คนที่เล่นตลกก็ไม่ต้องตลกมาก เพื่อที่คนที่สองที่สามเขาจะได้เล่นต่อได้ป๋าจะให้เล่นแบบนี้

ย้อนเส้นทางกว่าจะมาเป็นลำตัด
เริ่มแรกไม่ได้สนใจเลย ไม่รู้จักเลยลำตัด (หัวเราะ) เมื่อก่อนก็อยู่บ้านทำนาช่วยพ่อแม่ แล้วก็ได้ไปอยู่กับป้า ซึ่งเป็นแม่ของแม่ประยูร เราก็ไปช่วยเขาทำนาเพราะน้องชายแม่ประยูรไปเป็นทหารเราก็ไปช่วยกับพี่สาว แล้วแม่ประยูรกับพ่อหวังเต๊ะเขาก็ไปบ้านพอดี เราเองก็ไม่รู้จักหรอก คือพี่น้องเรารู้จักกันหมดแต่ว่ากับแม่ประยูรไม่ค่อยสนิทเพราะว่าเขาไปอยู่กรุงเทพฯ ตาเอาแม่ประยูรไปฝากคนนั้นคนนี้เพราะว่าตาเป็นคนที่ชอบลำตัด แล้วพอตาได้เจอกับพ่อหวังเต๊ะกับแม่ประยูรเขาก็ได้ฝากเราให้ไปอยู่ด้วย ตาบอกว่าเรายิ้มเก่ง เราก็ไม่ได้สนใจอะไรทักทายสวัสดีกันแล้วเราก็ไปงานของเรา จนวันนึงน้องสาวแม่ประยูรก็มารับแล้วบอกว่าไปหัดลำตัดกัน เขาก็ไปขอกับพ่อแม่เราให้ ซึ่งพอไปถึงกรุงเทพฯนะจะบอกว่าเราดูน่าเกลียดมากเลย (หัวเราะ) ดูบ้านนอกไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ คือใส่เสื้อแขนยาวนุ่งผ้าถุงสีน้ำเงิน รองเท้าก็ไม่มี ตอนนั้นอายุประมาณ 15 แล้วนะ เล่าให้ใครฟังเขาก็ขำ คนกรุงเทพฯเขาก็นุ่งกระโปรงใส่รองเท้ากันแต่เรานุ่งผ้าถุงอยู่เลย อยู่กรุงเทพฯไปได้เดือนนึงเขาฝึกลำตัดกันเราไม่ฝึกฝึกไม่ได้ปวดหัว ดูเขาร้องลำตัดกันเราก็ไม่รู้เรื่อง ด้วยความที่เราไม่เคยอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น เราอยู่บ้านนอกกว้างขวางอยู่กับธรรมชาติ เลยอยู่ไม่ไหวจนให้เขามาส่ง พอกลับมาบ้านด้วยความที่เราก็พอจะจำภาพที่เขาสอนรำ เราก็เอามารำหน้ากระจกลองหัดตีสีหน้ายิ้มอยู่คนเดียว คือเรามานึกถึงเพราะว่ามีคนเขาดูถูกเราไว้ไปกรุงเทพฯเราต้องไปทำอะไรที่ไม่ดีต้องไปหาเงินแน่ๆ เราก็มานึกถึงคำนี้แล้วก็ฮึดขึ้นมาเพราะว่าบ้านเราจนด้วย เราก็เลยขอให้เขากลับมารับอีกครั้ง นึกอยากจะจริงจังกับลำตัดแล้วและหายปวดหัวเลย แล้วคุณพ่อหวังเต๊ะ พ่อของพ่อหวังเขาก็เรียกเราเข้าไปและสอนเราว่าต้องรำต้องร้องยังไง คือหวังเต๊ะกับพ่อเขาชื่อเดียวกันนะบางคนอาจจะงงซึ่งคนแรกที่สอนลำตัดให้กับแม่ก็คือคุณพ่อเต๊ะคุณพ่อของหวังเต๊ะตอนนั้นก็ยังไม่รู้สึกว่าชอบนะ ยังเฉยๆ กับลำตัดแต่ก็อยากจะลบคำดูถูกของคน คิดว่าบ้านเราจนเราก็อาจจะช่วยที่บ้านได้บ้างถ้าเรามาทางนี้

ขึ้นเวทีแสดงครั้งแรก
งานแรกวัดสุทธาราม คลองสาน ซึ่งคนก็จะดูถูกอีกว่าเราเล่นไม่ได้หรอกเพราะว่าเป็นคนขี้อายมาก แต่ก็เป็นคนยิ้มนะ เขาพนันกันใหญ่เลยว่าเราเล่นไม่ได้แน่ๆ แต่ก็ไม่รู้นะเราก็เฉยไม่ได้สนใจอะไรและไม่ตื่นเต้นไม่ประหม่าด้วย แม่ประยูรเขายังบอกเลยว่าพวกเอ็งดูถูกมัน มันไม่ประหม่าเลย งานแรกก็ผ่านฉลุยเลยหลังจากนั้นเราก็เลยได้เข้าไปอยู่ในคณะของน้องชายหวังเต๊ะ ชื่อบุญช่วย นิมา ยังไม่ได้อยู่คณะหวังเต๊ะก็ไปกับแม่อุ่นเรือน แม่บุญปลูก น้องสาวของแม่ประยูร จะมีกันสามสาวอายุไล่ๆ กัน ไปอยู่คณะน้องชายหวังเต๊ะเป็นปีเลยมั้งแล้วแม่ทองเลื่อนที่เป็นตลกอยู่คณะหวังเต๊ะได้มาเยี่ยม เราก็ไปสวัสดี แม่ทองเลื่อนก็เลยถามว่าเราเป็นใครหน้าตาสะสวยดีนะ เราก็ไม่ได้สนใจอะไรนะไม่คิดว่าตัวเองสวยด้วย (ยิ้ม) แต่งตัวก็ไม่เป็น ไม่กี่วันเขาก็มารับเราไปอยู่คณะหวังเต๊ะ
จากที่เพื่อลบคำสบประมาท จนกลายเป็นสิ่งที่รัก
วันแรกที่ไปเล่นได้มา 30 บาท สมัยนั้นคือเยอะนะบางคืนได้ร้อยสองร้อยบาทซื้อทองได้บาทนึงเลยก็มีเราก็เก็บมาเรื่อยๆ จนสามารถส่งให้ที่บ้านและสร้างเนื้อสร้างตัวได้ จากที่เราต้องการจะลบคำสบประมาทของคน แต่เราก็ยังไม่รู้สึกรักในอาชีพนี้นะยังรู้สึกเฉยๆ แต่มารู้ตัวอีกทีเมื่อไหร่ไม่รู้คือมันคงซึมซับมาเรื่อยๆ มันโดยอัตโนมัติเพราะว่าเราได้ช่วยเหลือพ่อแม่ญาติพี่น้อง จนทุกวันนี้ลำตัดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว มันอยู่ในสายเลือดแล้วจ้ะมาอยู่ในคณะหวังเต๊ะพ่อหวังเขาไม่ค่อยได้สอนแม่นะเป็นคนที่แปลกหรือเราไม่ฟังเขาก็ไม่รู้ คือเขาเหมือนตีวัวกระทบคราด เราก็ฟังแล้วเราก็เอาไปทำการบ้านของเราเอง ไม่ได้เล่นให้เขาดูด้วย เขาจะสอนคนนั้นคนนี้แล้วเราก็จำไปเล่นของเราเอง เหมือนเราก็หยิ่งในศักดิ์ศรีของเราน่ะ ไม่ยอมถามเขา และจะเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงต่อหน้าใครจะเล่นหน้ากระจกแล้วก็บนเวทีเลย

ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน
พ่อหวังเขาคงชอบแม่เพราะว่าแม่เป็นคนไม่เที่ยว แต่ก็มีคนมาชอบเราเยอะแยะนะพวกเสี่ยคนมีตังค์แต่เราเป็นคนที่เรียกว่าถือเนื้อถือตัวก็ได้ ไปเที่ยวใครมาจับมือเราไม่ให้นะขนาดระดับเศรษฐีเราบอกไปเลยว่าถ้าจะคบกับฉันอย่าทำแบบนี้ แต่ที่ใจอ่อนให้พ่อหวังก็เพราะว่าแม่ประยูรแกป่วย แล้วแม่ประยูรก็รู้ว่าพ่อหวังเหมือนจะมีใจกับเราก็คงจะเห็นว่าเราเป็นคนดีรักลูกดูแลลูกดูแลเขาด้วย เขาก็เลยขอเราให้มาอยู่ด้วยกัน ทั้งแม่ประยูรและแม่เขาก็คุยกันตะล่อมเราจนในที่สุดก็เลยยอม แต่คนอื่นเขามองว่าเราแย่งสามีของแม่ประยูรนะ ซึ่งเราก็ไม่ได้สนใจเราเฉยๆ คนมองเราแบบนั้นกันหมดทั้งคนที่สนิทกันมากไม่พูดกับเราเลย แต่ความจริงแล้วคือทางเราได้ตกลงกันยังไงนั้นไม่มีใครรู้และเราก็ไม่เคยบอกด้วย เราไม่พูดเลย พูดไปก็แค่นั้นเราก็เฉยเดี๋ยวเขาก็รู้เอง ประมาณปีนึงคนเขาก็รู้กันทีนี้พอมาเจอเราก็มากอดมาพูดดีด้วยเลย
ครอบครัวใหญ่
เป็นครอบครัวที่อยู่ดูแลกันไป คือพ่อหวังมีภรรยา 3 คน ก็อยู่ด้วยกัน มันอยู่ที่คนกลางเขาไม่ได้ทำให้เราทะเลาะหรือว่ามีปัญหากัน แต่เราเป็นคนที่ 3 เหมือนเป็นคนโตนะ แม่ประยูรนี่เราจะเรียกมาว่าเลยถ้าอันไหนที่เขาทำไม่ถูก มีอะไรก็คุยกันเลย ตัวเราเองมีลูกกับพ่อหวังด้วยกันคนเดียวเป็นผู้หญิง (นิรามัย นิมา) ซึ่งลูกสาวแม่เขาเป็นลำตัดตั้งแต่ 5 ขวบ เขาทำได้หมดแต่ว่าไม่กระตือรืนร้น คือเขาชอบเอง แต่แม่ก็ไม่เคยสอนเขานะ ฝึกเด็กแล้วเขาก็มานั่งดูด้วย เขาสนใจเพราะว่าเห็นเราสอนเด็กคนอื่นแล้วเขาก็เป็นเองโดยอัตโนมัติ
คืออาชีพที่เลือกแล้ว
เล่นมาตั้งแต่อายุ15 ตอนนี้ 70 แล้ว ก็ยังคงเล่นอยู่ยังไหวอยู่ พ่อหวังสิ้นไปความเปลี่ยนแปลงมันก็มีนะแล้วมีเยอะด้วย จนบางครั้งเราก็มีเครียด แต่ก็จะบอกว่าช่างมันเดี๋ยวอะไรมันก็ดีเอง เราต้องมาคุมวงเองทุกคนเราต้องดูแลหมด งานก็น้อยลงแล้วจะมีคนบอกว่าคณะแตกแล้วไม่มีตัวเล่นแล้วเขาแยกวงกันหมด เจ้าภาพนั่นแหละเป็นคนพูดให้เราฟังแต่เราก็บอกว่ายังอยู่ค่ะและยิ้มไม่รู้ว่าจะพูดยังไง คือมันเริ่มตั้งแต่ที่พ่อเจ็บแล้ว เจ้าภาพต่างๆเขาก็คิดไปเองว่าพอขาดพ่อหวังแล้วก็คงไม่มีใครทำต่อ ซึ่งมันไม่ใช่เลย คือตรงนี้มันคืออาชีพของเราถ้าเราไม่ทำแล้วเราจะไปทำอะไร มันคืออาชีพของเราไปแล้วจะไปทำงานโรงงานเขาก็ไม่รับเราแล้ว ก็ยังคงจะใช้ชื่อ “คณะหวังเต๊ะ” อยู่เราจะไม่ขอเปลี่ยนชื่อ แม่บอกกับพ่อหวังว่าถ้าจะใช้ชื่อคณะจะขอใช้ชื่อนี้ เขาก็ถามว่าทำไมไม่เอาชื่อเราละ เราก็บอกว่าที่เรามีอยู่มีกินมีทุกวันนี้ให้ลูกหลานได้ก็เพราะหวังเต๊ะ เลยขอใช้ชื่อหวังเต๊ะตลอดไป ทุกวันนี้ก็ยังนึกถึงป๋าอยู่ จากไป 5 ปีแล้ว เลยไม่ค่อยอยากจะดูรูปเก่าๆ เพราะว่าดูทีไรก็คิดถึง บางทีเวลามีปัญหาอะไรถ้ามีพ่ออยู่เราก็ยังมีที่ปรึกษานะ แต่นี่เราไม่ได้คุยกับใคร กับลูกเราก็ไม่อยากให้เขารู้อะไรที่มันเครียด จนเขารู้ของเขาเอง ปัญหาทุกอย่างจะไม่ค่อยบอกลูกเราเป็นคนที่เข้มแข็งพอสมควร แต่ว่าผู้หญิงก็ต้องมีมุมที่อ่อนแอบ้างแหละแต่ยังไงเราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้

ความภาคภูมิใจสูงสุด
มีโอกาสแสดงลำตัดหน้าพระพักตร์สมเด็จพระเทพรัตนฯอยู่หลายครั้ง รวมทั้งโครงการของในหลวงรัชกาลที่ 9 ถือเป็นความภาคภูมิใจให้กับเราชาวคณะหวังเต๊ะ สมเด็จพระเทพรัตนฯทรงมีรับสั่งชื่นชมเราด้วยเราก็ยิ่งภูมิใจนะ และมีอีกครั้งนึงที่พระองค์ท่านทรงมีรับสั่งและแสดงความยินดีที่เราได้รางวัลศิลปินแห่งชาติ และเมื่อปีที่แล้วแม่ก็ได้มีโอกาสถวายกลองรำมะนาแด่พระองค์ท่านด้วยคือเป็นความตั้งใจของพ่อหวังอยู่แล้ว และอีกความภาคภูมิใจก็คงจะเป็นการที่ได้รับรางวัลศิลปินดีเด่นของจังหวัดปทุมธานี เมื่อปี 2542 และรางวัลเชิดชูเกียรติอีกหลายรางวัล ถือเป็นความภาคภูมิใจในอาชีพลำตัดของเราซึ่งเราจะไม่รักได้ยังไงเพราะมันทำให้เรามีทุกวันนี้
อีกหนึ่งศาสตร์การแสดงที่ชอบ
มีโอกาสได้ไปเล่นละคร ด้วยความที่สนิทกับ “อาหรั่ง-ไพรัช” เขาก็ดูป๋ามาชอบป๋าอยู่แล้วเราก็ไปด้วยและได้ศึกษา แต่เราก็แอบถามคนที่เขาเล่นเป็นศึกษาจากเขาว่าแอ๊กติ้งยังไงหน้ายังไง เล่นละครบ่อยเหมือนกันเล่นคนเดียวบ้างเล่นด้วยกันกับป๋าบ้าง บทบาทส่วนใหญ่ที่ได้รับก็จะเป็นเกี่ยวกับลำตัด ละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนเช้าบ้าง ทุกวันนี้ก็ยังเปิดรับงานแสดงอยู่ อายุไม่มีปัญหากับการแสดง แม้ว่าจะเข้าสู่เลขเจ็ดแล้วก็ตาม (หัวเราะ) อายุมาก แต่ก็ยังไหว เด็กๆ เขาก็เข้ามาคุยมาเฮฮากับเรา การเล่นละครถือเป็นอีกงานที่ชอบและสนุกมันผ่อนคลายดีได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ติดต่อจ้างงานสามารถโทร.เข้ามาได้เลยที่ 081-8748615 หรือว่าทางไลน์ด้วยก็ได้ค่ะเบอร์นี้เลย จองคิวกันได้เลยรับทั้งงานแสดงละครและแสดงลำตัดหรือถ้าใครที่สนใจอยากจะเรียนลำตัดก็ติดต่อมาได้เลยมีเงินไม่มีเงินไม่เป็นไรมาเลย แม่ทำกับข้าวเลี้ยงด้วยนะ

ความในใจถึงลูกหลานไทย
เพลงพื้นบ้านทุกอย่างนะคะ ก็ขอฝากคนรุ่นหลังว่านี่แหละคือ รากเหง้าของพื้นบ้านเรามันก็หายากนะ
อนุรักษ์เอาไว้สักนิดนึง อยากให้ลูกหลานนึกถึงเพลงพื้นบ้านของหวังเต๊ะ และร่วมกันสืบสานต่อไปไม่อยากให้เลือนหายไปค่ะ
กุหลาบสีเงิน
