ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/270696
วันพฤหัสบดี ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
“….เพราะว่าที่จันทบุรีนั้นมีการสร้างถนนกั้นน้ำ คือไม่ใช่เขื่อนกั้นน้ำ เขื่อนกั้นน้ำนี่น่าจะเอ็ดตะโรมากกว่า มีถนน 3 สายขนานกันที่กั้นน้ำ วิธีที่จะทำก็คือต้องดูว่าน้ำมันลงมาที่ไหนก็ดูได้ ถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดไปดูก็จะเห็นได้ ไปสำรวจดูว่าน้ำจะลงทางไหน แล้วก็ได้ทำการระบายน้ำ คือช่องระบายน้ำที่สอดคล้องกัน และถึงเวลาฝนลงมา น้ำลงมา ก็สามารถที่จะระบายออกไปได้ ไม่มีปัญหา สามารถที่จะระบายน้ำออกไป ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ถ้าถึงเวลาที่ต้องการน้ำเก็บเอาไว้ ก็มีทำเป็นประตูน้ำกักเอาไว้ไม่ให้น้ำไหลไปโดยไร้ประโยชน์ แต่ถึงเวลาก็ปล่อยน้ำออกไปได้”
ความตอนหนึ่งของพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2546
จังหวัดจันทบุรี เป็นจังหวัดทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทยมีเนื้อที่ 6,388 ตารางกิโลเมตร สภาพภูมิประเทศประกอบไปด้วย ป่าไม้ ภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบลุ่มน้ำ และที่ราบชายฝั่งทะเล ตั้งอยู่ในเขตลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีปริมาณฝนมาก เมื่อฝนตกทางพื้นที่ตอนบนน้ำจะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างผ่านกลางเมืองทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นประจำและรุนแรงมากขึ้น
นอกจากนี้ จังหวัดจันทบุรี ยังไม่มีแหล่งชะลอหรือเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ตอนบน ฝนตกลงมาเท่าไร ก็ไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างเท่านั้น ซึ่งไม่กระทบแค่เขตตัวเมืองเท่านั้น แต่ยังกระทบไปถึงพื้นที่ข้างเคียง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงรับทราบปัญหาของจังหวัดจันทบุรี ทรงมีความห่วงใย อยากให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไข จึงทรงมีพระราชดำรัสดังกล่าว เพื่อหาวิธีระบายน้ำโดยที่ไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนพร้อมกักเก็บน้ำไว้ใช้ได้ด้วย
นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า จากพระราชดำริดังกล่าว ทางรัฐบาลจึงมอบหมายให้กรมชลประทานศึกษาหาวิธีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจังหวัดจันทบุรีอย่างยั่งยืน โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงถือกำเนิดขึ้นและเริ่มดำเนินการในปี 2552 ผ่านไป 8 ปี ในปี 2560 โครงการจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการ และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของกรมชลประทานและชาวจังหวัดจันทบุรี ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเปิดโครงการในวันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ประกอบด้วย อาคารชลประทานที่สำคัญๆ ได้แก่ คลองผันนํ้าสายใหม่ และได้รับพระราชทานชื่อว่า “คลองภักดีรำไพ” มีความหมายว่า “คลองที่แสดงความจงรักในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7” ความยาว 11.6 กิโลเมตร แยกจากแม่น้ำจันทบุรีก่อนเข้าถึงตัวเมือง เพื่อผันน้ำส่วนเกินศักยภาพของแม่น้ำจันทบุรีออกสู่ทะเล โดยผันได้สูงสุด 300 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที ส่วนของแม่น้ำจันทบุรี หลังมีการขุดลอกปรับปรุงสามารถรองรับน้ำได้ 500 ลบ.ม./วินาที ทำให้มีศักยภาพระบายน้ำรวมกันสูงสุดถึง 800 ลบ.ม./วินาที
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างประตูระบายนํ้าไว้ทำหน้าที่ควบคุม บริหารจัดการนํ้าอีกจำนวน 11 แห่ง การสร้างถนนคันคลองทั้งฝั่งซ้ายและขวา เพื่อเสริมเส้นทางคมนาคมรถยนต์ขนาดเล็กตลอดแนวคลอง และมีสะพานข้ามคลองผันน้ำบริเวณถนนตัดผ่านทุกแห่ง ช่วยลดความแออัดของการจราจรในตัวเมืองจันทบุรี ซึ่งเป็นผลดีต่อการเดินทางของชุมชนให้สะดวกมากยิ่งขึ้น
“ในช่วงระหว่างดำเนินการก่อสร้าง กรมชลประทานได้ใช้แนวคลองที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างช่วยผันน้ำจากแม่นํ้าจันทบุรีในช่วงฤดูฝน เพิ่มช่องทางระบายนํ้าจากบริเวณฝายยาง ตำบลจันทนิมิต ลงสู่ทะเล สามารถป้องกันแก้ไขปัญหานํ้าท่วมในเขตเมืองจันทบุรีได้เป็นอย่างดี ทำให้ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา เขตเมืองจันทบุรีไม่เกิดภาวะนํ้าท่วมทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ประสบปัญหานํ้าท่วมเกือบทุกปี” นายสัญชัยกล่าว
คุณยายประภาพรรณ ฉัตรมาลัย อายุ 69 ปี ประธานชมรมพัฒนาชุมชนริมน้ำจันทบูร เล่าว่า ชุมชนจันทบูรเป็นพื้นที่หนึ่ง ซึ่งถือว่าได้รับผลกระทบจากแม่น้ำจันทบุรีเมื่อเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมทุกปี โดยเฉพาะในปี 2542 ที่เกิดน้ำท่วมหนักกว่าทุกปี จนชาวบ้านไม่สามารถรับมือเตรียมเก็บของได้ทัน เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และมีพระราชดำริในการจัดสร้างคลองเพื่อบรรเทาการเกิดอุทกภัยให้กับชาวจังหวัดจันทบุรี โดยชาวจังหวัดจันทบุรีทุกคนต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้และภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่มี “คลองภักดีรำไพ”ซึ่งเป็นคลองที่ความสวยงามมาก ทำให้ทุกวันนี้ชาวบ้านในชุมชนจันทบูรใช้ชีวิตอยู่ด้วยความสบายใจ เพราะไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดน้ำท่วมขึ้นอีก
นอกจากคลองภักดีรำไพจะช่วยบรรเทาปัญหานํ้าท่วมแล้ว ยังสามารถเก็บกักนํ้าจืดไว้ในคลองได้อีกประมาณ 2 ลบ.ม. เป็นแหล่งน้ำต้นทุนแห่งใหม่ ช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่โดยรอบ เกษตรกรที่อาศัยบริเวณแนวคลองสามารถสูบน้ำไปใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ครอบคลุมพื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 5,000 ไร่ และในช่วงฤดูแล้ง กรมชลประทานยังใช้สถานีสูบน้ำและประตูระบายน้ำปลายคลองภักดีรำไพเพื่อช่วยป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มเข้ามาในพื้นที่โครงการได้อีกด้วย
คุณลุงบัญญัติ เอี่ยมสอาด เกษตรกรที่อยู่ติดคลองภักดีรำไพ กล่าวว่า “ผมมีที่ดินทำการเกษต 3 ไร่ ก่อนมีคลองน้ำท่วมเป็นประจำ เพราะเป็นสภาพธรรมชาติ ฤดูฝนน้ำก็ท่วม พอข้าวออกรวง น้ำท่วมก็เสียหาย แต่พอมีคลองแล้วน้ำไม่ท่วมอีกเลย และในช่วงฤดูแล้งก็มีน้ำเพียงพอที่จะปลูกพืช ปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำก็หมดไปอีกด้วย ซึ่งในปีนี้ผมปลูกถั่วฝักยาว และมันเทศ ทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปี”
นอกจากนี้กรมชลประทานยังได้ทำการปรับภูมิทัศน์บริเวณประตูระบายน้ำปากคลองภักดีรำไพและถนนตลอดแนวคลองให้มีความสวยงาม จนกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และที่ออกกำลังกายแห่งใหม่ของชาวจังหวัดจันทบุรี ถนนทั้ง 2 ฝากฝั่งคลองที่ยาวกว่า 11 กิโลเมตร ยังเหมาะสำหรับการปั่นจักรยานอีกด้วย ซึ่งในแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุดราชการจะมีประชาชนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก จนทำให้ชาวจันทบุรีจำนวนหนึ่งต้องการที่จะให้คลองภักดีรำไพเป็น “ปอด” ของชาวจันทบุรี
“ชาวบ้านพยายามช่วยกันรักษาธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ และให้เป็นพื้นที่พักผ่อน ออกกำลังกาย และปั่นจักรยาน รวมทั้งพยายามรณรงค์ไม่ให้มีรถยนต์เข้าไปวิ่งภายในบริเวณริมคลองภักดีรำไพ แต่ชาวบ้านยังมีความกังวล เรื่องการขยายตัวของเมืองที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มีการสร้างบ้านเรือนเพิ่มเป็นจำนวนมากตลอดแนวคลอง ซึ่งอาจจะกีดขวางทางน้ำไหลที่จะไหลลงสู่คลอง และทุ่งนาที่เคยรับน้ำก็กลายเป็นบ้านเรือนไปจนหมด อาจจะเกิดปัญหาน้ำท่วมได้อีกในอนาคต ดังนั้นอยากให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนป้องกันและแก้ไขไว้ด้วย” นางประภาพรรณ ฉัตรมาลัย ประธานชมรมพัฒนาชุมชนริมน้ำจันทบูร กล่าวฝากไว้ให้คิดในตอนท้าย
พระราชดำริรัชกาลที่ 9 จะแก้ไขปัญหาให้ชาวจันทบุรีได้อย่่่างยั่งยืนหรือไม่…ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกัน
