ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/271709
วันพุธ ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

วงการสหกรณ์ไทยโดยเฉพาะสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนกำลังเกิดปรากฏการณ์ “ฝีแตก” ที่น่าหวั่นวิตกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดกรมส่งเสริมสหกรณ์โดยรองอธิบดีฯพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ เพิ่งมีคำสั่งเลิก “สหกรณ์ออมทรัพย์เคหสถานนพเก้ารวมใจ” ไปเมื่อ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งสั่งผู้ชำระบัญชีฯให้แจ้งความร้องทุกข์ กล่าวโทษกรรมการสหกรณ์แห่งนี้ข้อหายักยอกและฉ้อโกงสมาชิก จัดซื้อที่ดินราคาสูงเกินจริง สร้างความเสียหายสูงถึง 5.7 พันล้านบาท ทั้งฟ้องแพ่ง ไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายคืนด้วย
ที่จริงปัญหาที่ส่อเป็น “เนื้อร้าย-ฝีเน่า”ในแวดวงสหกรณ์นั้น ถูกจับตามาหลายปีแล้ว นับตั้งแต่เกิดคดีฉ้อโกง “สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น” โดยฝีมือของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ประธานสหกรณ์ฯกับพวก จนกลายเป็นคดีอภิมหากาพย์มาตั้งแต่ปี 2556 มีวงเงินเสียหายกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท แถมสร้างความเสียหายให้สหกรณ์ต่างๆ จำนวนมากที่นำเงินมาฝากไว้ แล้วยังขยายวงพัวพันถึงคนใหญ่คนโตแวดวงต่างๆมากมายที่ต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดี“ฟอกเงิน”ไม่ว่าจะเป็น “ธัมมชโช” อดีตเจ้าสำนักวัดพระธรรมกาย จนถึงล่าสุดคือ นายอนันต์ อัศวโภคิน อภิมหาเศรษฐี เจ้าพ่อแลนด์แอนด์เฮ้าส์
อีกทั้งมีอีกหลายสหกรณ์ที่เข้ามาพัวพัน มีพฤติกรรมร่วมกันฉ้อฉลโดยมิชอบด้วย สร้างวิกฤติศรัทธาให้ก่อตัวขึ้นกับแวดวงสหกรณ์ไทย!
สหกรณ์ไทยแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ 7 รูปแบบย่อยคือ ประเภทสหกรณ์ในภาคการเกษตรมี สหกรณ์การเกษตร,สหกรณ์ประมงและสหกรณ์นิคม ขณะที่สหกรณ์ประเภทนอกภาคการเกษตร มีสหกรณ์ออมทรัพย์,สหกรณ์ร้านค้า,สหกรณ์บริการ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
ภาพรวมในปี 2558 สหกรณ์มีทั้งสิ้น 8,074 แห่ง 56% เป็นสหกรณ์ในภาคการเกษตรโดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตรมีมากถึง 4,337 แห่ง ส่วนสหกรณ์นอกภาคเกษตรมี 44% แต่ดูจากมูลค่าสินทรัพย์แล้ว พบว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่ถึง 87%ของสหกรณ์ทั้งระบบ กลับเป็นของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 2,059,457 ล้านบาท การขยายตัวของสินทรัพย์สหกรณ์ออมทรัพย์ส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินให้สินเชื่อ โดยช่วง 5 ปีนับแต่ปี 2553 สินเชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์ขนาดใหญ่ 169 แห่ง เติบโตจากระดับ 9 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 มาอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท ณ กันยายน 2559 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากเกือบ 2 เท่า
ความมั่งคั่งของมูลค่าสินทรัพย์และการปล่อยกู้สินเชื่อที่ขยายตัวใหญ่โตระดับน้องๆ ของระบบแบงก์พาณิชย์ ก่อให้เกิด”ความเสี่ยง”ที่มีมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกรรมปกติเอง และความเสี่ยงจากผู้บริหารสหกรณ์ในเรื่องความสามารถในการบริหาร เนื่องจากได้รับการคัดเลือกโดยการเลือกตั้งจากสมาชิกด้วยกันเอง อาจไม่ใช่“มืออาชีพ”พอ ยิ่งเมื่อกิจการสหกรณ์ใหญ่โตยิ่งขึ้น ความสามารถของผู้บริหารก็ยิ่งน่าห่วง
ปัญหาผู้บริหารที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เรื่องของความโปร่งใสและที่น่ากลัวที่สุดคือการทุจริตฉ้อฉลเพราะผลประโยชน์ที่บังตา จากการได้บริหารทรัพย์สินก้อนใหญ่ ขณะที่ระเบียบ กฎเกณฑ์หรือการติดตามตรวจสอบทั้งจากสมาชิกสหกรณ์เองและหน่วยงานที่กำกับดูแลอยู่ ยังไร้ประสิทธิภาพพอ
หลังจากเกิดกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ตามมาด้วยปัญหาอีกหลายสหกรณ์ออมทรัพย์ ทำให้ภาครัฐพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามากำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน แทนกระทรวงเกษตรฯด้วยเห็นว่า แบงก์ชาติมีความเชี่ยวชาญกว่ามาก เพราะมีหน้าที่ควบคุม ดูแลสถาบันการเงินอยู่แล้ว
แต่ดูเหมือนกระทรวงเกษตรฯไม่ต้องการถูกตัดงานดูแล “สหกรณ์ออมทรัพย์”ออกไปให้แบงก์ชาติ เรื่องจึงยืดเยื้อล่าช้ามาเป็นปี กระทั่งเพิ่งมีมติครม.อนุมัติแนวทางการปฏิรูปการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เมื่อปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา แต่แค่ให้แบงก์ชาติเข้ามาช่วยวางกรอบกติกา กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ที่จะใช้บังคับกับสหกรณ์ ให้เข้มงวดขึ้น แต่อำนาจกำกับดูแลยังเป็นของกระทรวงเกษตรฯโดยตรง ซึ่งขั้นตอนจากนี้ยังรอให้กระทรวงเกษตรฯประกาศใช้เกณฑ์ใหม่อย่างเป็นทางการออกมา
เรื่องกฎกติกาใหม่เชื่อว่า คงดีขึ้นแน่ แต่จะมีประสิทธิภาพเพียงใด ยังอยู่ที่การตรวจสอบ กำกับดูแลให้สหกรณ์ต่างๆ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตรงนี้แหละที่จะพิสูจน์ฝีมือกระทรวงเกษตรฯ เพื่อระงับวิกฤติ“ฝีแตก” และให้สหกรณ์ไทยก้าวเดินอย่างมั่นคงต่อไป…อย่าให้ผิดหวังกันอีก
สาโรช บุญแสง