ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/272874

วันพุธ ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
คสช.-คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอายุครบ 3 ปีไปเมื่อ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาขณะที่รัฐบาลของ คสช.ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ว่ากันตามจริงจะครบ 3 ปีก็ต้องเป็นปลายเดือนส.ค.
เท้าความย้อนอดีตดู…คสช.เข้ายึดอำนาจ 22 พ.ค.2557 จากนั้นก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ตลอดจนการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช.ขึ้นมาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ แล้วสนช.ก็ลงมติเลือกให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งออกมาเมื่อ 25 ส.ค.2557ตามด้วยการฟอร์มรัฐบาล จนกระทั่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งครม.ประยุทธ์ 1 ออกมาเมื่อ 30 ส.ค.2557…ดังนั้นการครบรอบ 3 ปีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ หรือรัฐบาลของ คสช. จึงเป็น 30 ส.ค.
แต่กระนั่นก็ตามช่วงที่เข้ายึดอำนาจใหม่ๆ แม้เว้นว่างรัฐบาลอยู่ แต่คสช.ก็ใช้กลไกราชการให้ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงทำหน้าที่เสมือนรัฐมนตรีไป แล้วก็มีนายทหารใหญ่จาก คสช.แยกย้ายไปกำกับดูแลอีกทีดังนั้นบางทีสังคมจึงนับอายุรัฐบาล คสช.ตั้งแต่ 22 พ.ค.2557 เลยก็มี
ธรรมเนียมการครบรอบแต่ละปี จะมีการแถลง“ผลงาน”และย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิง“สอบได้”หรือ“สอบตก”กันอยู่เป็นประจำ ยิ่งการครบรอบปีที่ 3 ของคสช.ก็ยิ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น เพราะถือว่า รัฐบาลเข้ามาช่วงครึ่งหลังแล้ว ใกล้จะต้องคืนอำนาจสู่ประชาชน ตามโรดแมปที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ น่าจะอีกแค่ปีกว่าๆ
เดิมมีข่าวตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ค.ว่า รัฐบาล คสช.เตรียมแถลงผลงาน 3 ปีช่วงปลายเดือนพ.ค.หรือต้นมิ.ย. แต่ไปๆมาๆ โดนเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วง โดยเฉพาะการโจมตี ดิสเครดิต“ผลงาน”คสช.จากฝ่ายนักการเมือง ทำให้นายกฯประยุทธ์ชักเซ็ง สั่งงดแถลงผลงาน แล้วเลื่อนไปแถลงร่วมช่วงเดือนก.ย.สิ้นปีงบประมาณ 2560 ไปเลย
กระนั่นก็ตาม เรื่องผลงาน 3 ปีของรัฐบาล คสช.ก็ยังคงเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ และแน่นอนว่า แต่ละกระทรวงก็ต้องเตรียมการสำหรับแถลง “ผลงาน 3 ปี”นี้ รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย ซึ่งก็เป็นที่จับตาอยู่มากว่า จะมีอะไรเอามาโชว์ให้ประทับใจได้บ้างหรือไม่ในปีที่ 3 นี้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า พี่น้องเกษตรกรไทยยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก โงหัวได้ไม่ดีนัก ภาพรวมราคาพืชผลการเกษตรที่ตกต่ำ ทำให้เกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ มีกำลังซื้อหดตัว เป็นปัจจัยสำคัญที่ยังถ่วงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอยู่ไม่น้อย
ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้มีการนำมาตรการให้ความช่วยเหลือระยะสั้น มาใช้อยู่หลายครั้ง ทั้งการแจกเงินช่วยแก่เกษตรกรรายย่อยที่ยากจน,แจกเงินช่วยชาวนาไร่ละ 1 พันบาทไม่เกิน 10 ไร่, แจกเงินช่วยชาวสวนยางไร่ละ1,500 บาทคนละไม่เกิน 10 ไร่ เป็นต้น แม้เป็นความจำเป็นเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนช่วงที่ราคาผลผลิตตกต่ำอย่างหนัก และถือเป็นการช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ภาคเกษตร แต่แน่นอนว่า ไม่ใช่การแก้ไขที่ยั่งยืนและย่อมเป็นประเด็นให้ถูกโจมตีได้ว่า เป็นเรื่องของ“ประชานิยม”ไม่ต่างไปจากรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ถูก คสช.โค่นอำนาจไป
อย่างไรก็ตามตลอด 3 ปีของกระทรวงเกษตรฯในยุครัฐบาล คสช.นั้น มองโดยภาพร่วมอย่างใจเป็นธรรม ก็ต้องบอกว่า “มีความพยายาม” ในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรอยู่ไม่น้อย ทั้งมีการยืนยันอยู่เสมอว่า นโยบายการสร้างความเข้มแข็งของภาคเกษตรไทยเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของ คสช. ที่หัวหน้า คสช.มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯเร่งดำเนินการ
หลายโครงการผลักดันออกมา เพียงแต่ยังวัดผลสำเร็จไม่ได้ อย่างการส่งเสริมระบบการเกษตรและยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่ ขณะที่นโยบายในการขับเคลื่อนการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อสืบสานศาสตร์แห่งพระราชาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แม้เป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติการปีนี้ที่พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯยืนยันให้ความสำคัญและไล่บี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เข้าเป้าให้จงได้ แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อยว่า หน่วยงานที่ลงไปทำมุ่งแต่ปริมาณ ไม่ได้ทำให้เกษตรกรได้“เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”อย่างแท้จริง
ที่ต้องฝากทิ้งท้ายไว้ ณ ที่นี่ ก็คือ การผลักดันโครงการต่างๆ ให้ประสบผลสำเร็จเป็น “ผลงาน” ออกมาได้ดี ต้องอาศัย “คน” ที่ทำงานได้จริง อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการวางคนให้เหมาะสมกับงาน ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของกระทรวงเกษตรฯในยุคคสช.ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีที่ 3 ถ้ายังเป็นเช่นนี้อยู่ละก็ “ผลงานในปีที่ 4” ก็คงหวังอะไรได้ไม่มากนัก
สาโรช บุญแสง