‘รองเท้าแตะ’ ของ โอ๋ ซูเปอร์กลู คนดนตรีที่คร่ำหวอดในแวดวงฟุตซอล!?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/269055

วันจันทร์ ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ห่างหายไปโลดแล่น ในวงการฟุตซอล ชนิดหาตัวจับยาก จนน้อยคนที่จะรู้ว่า อนุสรณ์ นฤนาทดำรงค์ คืออดีต นักร้องนำ วง Superglue ในชื่อ โอ๋ ซูเปอร์กลู เจ้าของเพลงฮิตอย่าง “ถามใจ” เพลงฮิตติดชาร์ตอันดับ 1 คลื่นฮอตเวฟเมื่อ 17 ปีก่อน!! วันนี้เขามีผลงานเพลงใหม่อีกครั้ง เพราะอะไร และเพลงอะไร “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ได้โอกาสพิเศษจับเข่าคั้นความใน มาเผยให้ทราบกัน

l ทิ้งห่าง แต่ไม่ได้ห่างหาย

ผมยังจับไมค์อยู่เรื่อยๆ ครับ เพียงแต่คนไม่ค่อยรู้ เพลงสุดท้ายที่ทำ คือเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ชื่อเพลง “เฉยๆ” ปล่อยทาง
ยูทูบ Oh Superglue คือด้วยความที่เราหายไปนาน เราก็ไม่มีคอนเนคชั่นที่จะมาต่อยอด เลยปล่อยยูทูบแล้วกัน แต่ผลปรากฏว่าได้ยอดวิว 600,000 กว่า เราก็เลยรู้สึกว่ายังมีคนติดตามเราอยู่นะ หลังจากนั้นก็หายไป 4 ปี คิดว่าจะไม่ทำแล้ว อยู่ๆ ช่วงปีที่แล้ว คิดจะทำห้องซ้อมดนตรีเล่นๆ ที่บ้านตัวเอง ทำให้เด็กๆ ซ้อมกัน แต่ไปๆ มาๆ เริ่มซื้อเครื่องนั่นนี่ เลยกลายเป็นว่าลองทำอีกสักครั้งหนึ่ง ทำเสร็จปุ๊บ ก็ส่งเพลงมาให้พี่เป้ (ภิทรู พลชนะ)โปรดิวเซอร์ที่ทำอัลบั้มแรกฟัง เขาก็เปิดเพลง “รองเท้าแตะ” ฟัง แล้วบอกว่าทำเลย ผมทำเดโมเสร็จ ก็ตัดสินใจมาลงอัด เราทำเองสบายใจกว่า เพราะเราได้เรียนรู้ตลอดเวลา ได้พัฒนาตนเอง ทำเองทั้งหมด ตั้งแต่แต่งคำร้อง ทำนอง เรียบเรียง ทุกคนที่มาทำตรงนี้มาด้วยใจจริงๆ ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ ครับ

l ช่วงชีวิตที่ผ่านมา

ผมไปใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่ 14 ปี แต่ก็ยังทำซิงเกิ้ลออกมาเรื่อยๆ ไปอยู่ที่เชียงใหม่ไปทำสนามฟุตซอลครับ เอาองค์ความรู้เกี่ยวกับฟุตซอลไปสอนเด็กๆ เปิดสนามแบบมาตรฐาน ชื่อ Futsal Heaven เปิดมาปีนี้เป็นปีที่ 7 แล้วครับ พอเหลือตังค์นิดหน่อย ก็ทำห้องอัด พอเราว่างเราก็ยังอยากจะทำเพลง แล้วตัวผมเองก็โตเกินกว่าที่จะไปอยู่ค่าย อยู่ภายใต้การบริหารจากใคร เพราะเราก็ค่อนข้างจะรักอิสระ

l ที่มาของเพลง “รองเท้าแตะ”

ผมเป็นคนใส่รองเท้าแตะตลอด ยิ่งอยู่ต่างจังหวัด ยิ่งมีแต่คน ด่าผม ว่าทำตัวไม่เหมือนศิลปินที่เคยโด่งดัง ผมเป็นคนสบายมากครับ ใส่รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้นไปทำงาน จะให้เราใส่สูทมันก็ไม่ใช่ ปั่นจักรยานใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ผมกลับโดนด่าว่าเป็นศิลปินตกกระป๋อง คือเขาไม่รู้ว่าเราเป็นใครทำอะไรได้แค่ไหน เราก็เปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ ก็ต้องยอมรับสภาพไป ผมเลยคิดว่าคนเรามองกันแค่ตรงนี้ ไม่ต่างจากเรื่องความรัก แต่จริงๆ แล้วผมก็หวังว่าวันหนึ่งพอเขาเข้าใจ เขาจะรู้ว่าความรักเป็นเรื่องสบาย ผมเห็นคนมีเงินเป็นพันล้านแต่งงานเป็นสามี-ภรรยา ถึงวันหนึ่งก็เลิกกัน เราจะเห็นแบบนี้เยอะมากเลยครับในสังคมไฮโซ สุดท้ายผมคิดว่าความรักมันเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นเรื่องของความสบายใจ เงินทองมันไม่ใช่ที่สุด แต่มันพูดยาก เพราะสังคมไทยเป็นทุนนิยม เก็บกดกับความจน เราต้องยอมรับความจริงว่าเราไม่ใช่ประเทศสิงคโปร์ เราไม่ได้ถูกปลูกฝังว่าเกิดมาค้าขาย ผมเป็นลูกคนจีน ผมเกิดมาผมค้าขายเองเลยนะ ชอบค้าขายตลอดเวลา แต่เราเป็นติส เราก็ไม่รู้สึกเสียใจที่เราเลือกทางนี้ แต่คนไทยพื้นฐานเราเป็นเกษตรกร เราไม่ใช่คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมจะมานั่งทำธุรกิจหักเขี้ยวเฉือนคมกับใคร แต่ด้วยหลายปีที่ผ่านมา ด้วยกระแสสังคมรัฐบาลเก่าๆ ที่พยายามปลูกฝังอยากจะให้เราเป็นสิงคโปร์ เป็นฮ่องกง คนก็เลยขวนขวายจะถูกจะผิดก็ไม่รู้แล้ว รู้แต่ว่ามีเงินก็นับหน้าถือตา ต่อให้เป็นคนดีแค่ไหนแต่ถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีคุณค่าในสังคม นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมคิดทำเพลง “รองเท้าแตะ”

l ตั้งใจเสียดสีสังคม

ใช่ครับ เป็นการเสียดสีสังคมนิดๆ แต่เอาความรักมาเป็นตัวเดิน เอาเรื่องผู้หญิงมาเป็นตัวเดิน เพราะว่าเราเป็นศิลปินป๊อป เราจะมานั่งทำเพลงแบบพี่แอ๊ด ก็ไม่ใช่ ลึกๆ ก็คือนิดหนึ่ง แนวดนตรีเป็นป๊อปเนื้อเพลงเสียดสีนิดหน่อย เปรียบเราเป็นรองเท้าแตะคู่หนึ่ง เราพร้อมที่จะให้ใส่ตลอดเวลา เป็นรองเท้าแตะเก่าๆ แต่เบาสบาย จับมือฉันไว้แกว่งเท้าเดินไปกับฉัน แต่ถ้าเธอมีทางที่ดีกว่า ฉันก็พร้อมจะปล่อยเธอไป หากเพียงหัวใจเธอต้องการ

l มองคนฟัง

ผมคิดว่าผู้หญิงน่าจะชอบเพลงนี้นะ น้องๆ ผู้หญิงหลายคนชอบมาก ฟังวนอยู่นั่นแหละ เขาบอกว่าน่ารัก ประเด็นคือผมอยากให้ผู้หญิงหันมามองคน ที่ไม่ใช่แค่มองวัตถุ ถ้ามีผู้ชายที่น่ารักแบบนี้ทำไมคุณไม่เอาล่ะ ทำไมคุณชอบเสี่ยขับเบนซ์ ผมอยากเปลี่ยนค่านิยมจากเพลงและไลฟ์สไตล์คนด้วย พอคนที่ฟังเพลงนี้เขาก็จะรู้สึกรีแล็กซ์ เพราะชีวิตมันก็ต้องการแค่นี้นะ

l 17 ปีที่อยู่กับวงการดนตรี

ผมว่าตอนนี้เป็นช่วงที่แย่ที่สุดในวงการเพลง ตั้งแต่เติบโตมาเลย แย่ทั้งระบบการซื้อขาย ไม่รู้จะสร้างมูลค่ากันยังไง แย่ทั้งศิลปินมากหน้าหลายตา ผมไม่ได้ดูถูกคนยุคนี้นะ แต่ผมกล้าพูดเลยว่าคนยุคผมฟังเพลงดีกว่าคนยุคนี้ คนรุ่นผมเพลงมันมีมูลค่ามาก เพราะมันไม่มีสื่อดิจิตอลมาดูฟรี แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไปกดยูทูบคนฟังเพลงได้แล้ว ทุกอย่างเลยง่ายไปหมด สมาธิสั้น ความประณีตเลยมีน้อยพอน้อยสังคมเลยหยาบคาย

l ฟีดแบ๊กจากแฟนๆ

บางคนชอบ บางคนบอกเพลงนี้ ไม่โดนเหมือน “เปิดใจ” ไม่โดนเหมือน “ถามใจ” แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าเพลงนี้มันเป็นเพลงที่โดน เพลงนี้เป็นเพลงตรีมรองเท้าแตะ คำมันชัด มีคอนเซ็ปต์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นชีวิตเรา เพลงต่อไปก็ไม่ใช่ความรักอัลบั้มนี้บอกเลยจะไม่มีเพลงความรักแบบถามใจ เพราะผม 42 แล้ว ทุกวันนี้ผมอกหัก ผมไม่ฟูมฟายแล้ว ผมเข้าใจแล้ว แล้วก็น่าจะเป็นปรัชญาสอดแทรกเล็กๆ น้อยๆ เข้าไปบ้าง แต่คงไม่หนัก จะเป็นเรื่องที่พูดให้กำลังใจคน เป็นเรื่องที่สอนแล้วให้คนฉุกคิดอีกมุมหนึ่งครับ

l อยากมีชื่อเสียง แต่ไม่ได้หวังดัง

จริงๆ การกลับมาในวงการเพลง คนก็แนะนำให้ไปอยู่ค่าย แต่ผมอยากกลับมามีชื่อเสียง ไม่ได้อยากดัง เพื่อจะมาเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ผมอยากเอาชื่อเสียงกลับมา ถ้าผมได้ชื่อเสียงกลับมาแล้ว ผมเชื่อว่าด้วยการที่ผมบริหารฟุตซอลมาก่อน อยู่กับบุคลากรระดับประเทศ ทำกีฬาจากไม่มีคนรู้จัก กลายเป็นแพร่หลายทั่วประเทศได้ วิธีคิดกลยุทธ์ต่างๆ ถ้าผมกลับมามีชื่อเสียงได้ ผมจะสามารถบิดวงการเพลงไทย ให้มันกลับมามีศรัทธาได้ แต่วันนี้เราไม่มีชื่อ เราพูดอะไรไปก็ลำบาก เหมือนกับวันนี้ที่ผมกลับมา ผมก็อยากสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ให้เด็กไทย แล้วคนฟังเพลงไทย ตั้งใจทำงานเพลงดีๆ แล้วเราอาจจะเป็นไอดอลเขาก็ได้ เพลงไม่ต้องยาก แต่เพลงผมไม่เคยหยาบคาย เพลงผมไม่เคยมีภาษาอังกฤษอยู่ข้างในตลอดชีวิตที่ทำมา ไม่มี โอ้ เย้ เลิฟยู ผมจะไม่ทำเลย เพราะผมทำเพลงไทย แต่ซาวนด์ดนตรีผมสากลมาก และผมว่าฝรั่งเขาเข้าใจได้ ฝรั่งเขาไม่ได้อยากมาฟังคนไทยร้องเพลงฝรั่งหรอกครับ เหมือนกับเราที่ไม่อยากฟังฝรั่งมาร้องของเราเหมือนกัน ผมว่ามันคงไม่ต่างกัน เขาก็อยากจะเห็นเอกลักษณ์ สีสัน ศิลปะที่ออกมาจากตัวเราจริงๆ

และนี่ตัวตนของ “โอ๋ ซูเปอร์กลู” คน 2 วงการ ที่ไม่เคยหยุดทำงานในสิ่งที่รัก

 

Leave a comment