Star Retro : ‘รณ ฤทธิชัย’ กับความสุขใจ ในงานเกษตร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/271181

Star Retro : ‘รณ ฤทธิชัย’ กับความสุขใจ ในงานเกษตร

Star Retro : ‘รณ ฤทธิชัย’ กับความสุขใจ ในงานเกษตร

วันอาทิตย์ ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

พักหลังมานี้ เรามักจะเห็นนักแสดงรุ่นใหญ่ รณ ฤทธิชัย หรือ ชำนาญ คานเขต หันไปเอาดีด้านการเมือง จนแทบไม่มีผลงานการแสดง แฟนๆ จึงเอ่ยถามกันมาเยอะว่า รณ ฤทธิชัย ในวัย 68 ปี ทำอะไรอยู่ที่ไหน!? สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ เสาะหาคำตอบมาให้ทราบกันค่ะ

งานหลักในปัจจุบัน

ตอนนี้ผมเป็นประชาชนเต็มขั้น คือ เป็นประชารัฐ ทำงานช่วยราชการ เป็นจิตอาสาไม่มีเงินเดือน ที่อยากทำเพราะว่า ตอนเป็นผู้แทนราษฎร เรามองเห็นปัญหาของพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับเรื่องของน้ำ ซึ่งเกษตรกรต้องมีน้ำ ถ้าไม่มีน้ำ ก็ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เพราะน้ำคือปัจจัยหลัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านบอก น้ำคือชีวิต เพราะน้ำเกี่ยวกับคนทุกคน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ตอนเป็นผู้แทนผมก็เน้นทำโครงการเรื่องน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ส่วนรับผิดชอบ ในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดยโสธร

จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง

ผมเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อการศึกษาพลศึกษาที่สนามกีฬาแห่งชาติ วันหนึ่งไปซ้อมกีฬาที่โรงยิมมีคนไปเห็น เขาก็เลยชวนไปเล่นหนัง แล้วก็ได้ไปถ่ายหลังปกหนังสือ “จักรวาลปืน” รายสัปดาห์ ซึ่งตอนนั้นหนังสือจักรวาลปืนดังมาก เพราะมีนิยายเพชรพระอุมา ก็ตัดสินใจไปถ่าย พอไปถ่ายปุ๊บคนก็เริ่มรู้จัก แต่ยังไม่ได้เป็นนักแสดง เป็นแค่นายแบบ หลังจากนั้นอาจารย์สุวรรณี สุคนธา จะเปิดหนังสือ “ลลนา” ฉบับปฐมฤกษ์ แกก็มาชวนให้ไปถ่าย ซึ่งถ่ายแบบถอดเสื้อ ผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่ถ่ายแบบนี้ พอหนังสือออกวางแผง ฮือฮามาก มีคนส่งจดหมายมาเยอะมาก เป็นพันๆ ฉบับ มีทั้งชมและติ พอหลังจากนั้นก็ได้มาเล่นหนังของอาไพรัช สังวริบุตร เล่นคู่กับรองนางสาวไทย วริศรา วชิราชัย ปี 2514 เล่นเป็นเจ้าของฟาร์ม ถ่ายที่ฟาร์มโชคชัย พอหนังทีวี.ออกอากาศก็มีคนติดต่อมาให้ไปเล่นเรื่อยๆ เริ่มมีชื่อเสียงขึ้น จนกระทั่งเล่นหนังเรื่องหนึ่งในปี 2516 แล้วมีเหตุการณ์ 14 ตุลา ทุกอย่างหยุดหมดเลย ผมก็เรียนจบพอดี เลยได้ออกไปอยู่ต่างจังหวัดที่บ้านเกิด คือ ยโสธร และเริ่มสนใจการเมืองอย่างจริงจัง

ดวงชะตาฟ้าลิขิต

อาจารย์คิด สุวรรณศร ประกาศลงหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ว่าขอให้ รณ ฤทธิชัย ติดต่อกลับที่เบอร์โทรศัพท์นี้นะ เพื่อนๆ เอาหนังสือพิมพ์ไปให้ดูในป่า ผมอ่านดูแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้ติดต่อกลับ อีกประมาณสักเดือนกว่าๆ แกก็ลงตามอีกแล้วครั้งที่สอง ผมก็เลยคิดว่า เอ๊ะ..มีอะไรหรือเปล่าก็เลยโทร.กลับ แกบอกให้เข้ากรุงเทพฯ หน่อยได้ไหมมีเรื่องอยากคุยด้วย เขียนบทไว้ให้ตามคาแร็กเตอร์ที่เคยคลุกคลีด้วยกัน เรื่อง “คนกลางแดด” เป็นหนังเรียลิสติก เป็นแนวที่ไม่มีใครทำ ผมก็ขับรถปิกอัพสีเหลืองเข้ากรุงเทพฯ ไปหาแกทันที พอไปเจอแกก็เอาบทมาให้อ่าน เป็นเรื่องราวชีวิตของคนในสลัมซึ่งเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ตรงกับอุดมการณ์แนวความคิดเรา ผมก็ตอบตกลงทำกับแก แล้วแกก็พาไปหาเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ)คุยกันเรียบร้อยตกลงทำเรื่องนี้ ผมก็เป็นพระเอกช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนแนวหนัง จะมีหนังประเภทนี้อยู่ประมาณ 3 เรื่อง คนกลางแดด, เมืองในหมอกและน้ำค้างหยดเดียว เป็นแนวเดียวกันหมดเลยข่าวออกมาดีมากเลย มีพระเอกเกิดใหม่ชื่อ รณ ฤทธิชัยแต่ปรากฏว่าหนังเจ๊งหมดเลยสามเรื่อง (หัวเราะร่วน) แต่ผมแจ้งเกิด หลังจากนั้นก็มีเรื่องอื่นๆ ตามมาผมก็จะรับเล่นทีละเรื่อง

แจ้งเกิดในหนัง “มือปืน”

คือใจผมชอบการเมืองมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ฉะนั้นการเมืองกับงานบันเทิงสองอย่างนี้จะไปด้วยกันตลอด ควบคู่กันไปในชีวิต ลงสมัครผู้แทนตอนปี 2521 สอบตกเลย ตอนแรกคิดว่าจะได้ เพราะคิดว่าหนังเรื่อง คนกลางแดด จะฉายแล้ว คนคงรู้จักเรา แต่กลายเป็นว่าหนังฉายหลังเลือกตั้ง (หัวเราะ) แล้วปี 2522, ปี 2526 ลงอีกก็สอบตกอีก เลยกลับมาเล่นหนัง และทำให้คนรู้จักมากขึ้นอีกกับเรื่อง “มือปืน” ซึ่งถือว่าโด่งดังมาก ตอนนั้นที่อียิปต์เขาจัดไคโร อียิปต์ ฟิล์ม เฟสติวัล เขาก็เจาะจงมาเลยให้ ท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) เอาเรื่องนี้ไปฉายโชว์ที่อียิปต์ ผมก็ไปด้วยในฐานะนักแสดง

สอบตกการเมือง แต่ได้รางวัลการแสดง

อย่างที่บอกผมทำควบคู่กันไป ทั้งงานวงการบันเทิง และงานทางการเมือง พอลงสมัครการเมืองสอบตกไป 6 ครั้ง แต่ก็ได้รางวัลทางการแสดงมาชดเชยการสอบตกนะ (หัวเราะ) ปี พ.ศ. 2528 ได้รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเรื่องครูสมศรี ปีพ.ศ. 2529 ได้รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเรื่องครูสมศรี ปี พ.ศ. 2534 ได้รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ นักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม จากเรื่องคนเลี้ยงช้าง รวมก็เล่นหนังประมาณ 50 กว่าเรื่อง แต่ที่เด่นๆ ทำชื่อเสียงให้เราก็จะเป็นหนังของท่านมุ้ย หนังของพี่เชิด ทรงศรี ส่วนหนังที่ผมทำเองก็มีเรื่อง “สัตว์สงคราม” เป็นเรื่องของจินตนาการ ผมเป็นคนเขียนบท เป็นผู้กำกับ เองหมดเลย ก็ถือว่าโอเค ไม่ขาดทุน ทำเรื่องเดียวเหนื่อยมาก ทั้งเล่น ทั้งเป็นนายทุนเอง ทำทุกอย่าง ก็สนุกดี แต่เหนื่อย ตั้งแต่นั้นมาก็บอกตัวเองไม่ทำแล้ว

เกือบได้โกอินเตอร์กับบทบู๊สายถนัด

มีหนังฮ่องกงเรื่องหนึ่งติดต่อมา เกี่ยวกับนักมวย อ่านบทเสร็จ ผมไม่รับ เพราะในเรื่องเล่นเป็นนักมวยแต่เราต้องเล่นเป็นคนที่แพ้ ผมก็ไม่ยอมสิซึ่งก็เสียดายนะ ถ้าเล่นเราก็ก้าวไปสู่อินเตอร์ได้แต่ว่าศักดิ์ศรีความเป็นนักมวยไทย ก็เลยปฏิเสธไป ตอนหลังก็มีหนังฮ่องกงที่เล่นคือ “ปล้นข้ามโลก”

เมื่อได้เป็นผู้แทนสมใจ

ผมเป็นผู้แทนปี 2538 ตอนนั้นเริ่มห่างจากวงการบันเทิงไปเลย ได้เป็นผู้แทนติดต่อกัน 5 สมัย อยู่ในสภาประมาณ 20 กว่าปี แต่ในขณะเดียวกัน ช่วงว่างก็ไปรับเชิญบ้าง อย่างในช่วงปี 2544 ก็กลับมาเล่นเรื่อง “สุริโยไท” เล่นเป็นกษัตริย์พม่า ในบทพระเจ้าแปร แล้วมี “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 6 ตอน อวสานหงสา” และ “พันท้ายนรสิงห์” เรื่องล่าสุด

ความสุขจากการเป็นนักการเมือง

ผมเป็นผู้แทนมาตั้งแต่ปี 2518 จนกระทั่งตอนนี้ ตั้งปณิธานไว้ว่า จะเป็นผู้รับเหมา จะไม่ทำธุรกิจการเมือง จะเอาเวลาทั้งหมดที่มีอยู่ทุ่มเทในการแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชนโดย เฉพาะเรื่องน้ำ เพราะผมเป็นคนอีสาน ซึ่งพื้นที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่ทำเกษตรเพื่อเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่โบราณ อาชีพส่วนใหญ่ก็ทำนา ถ้าขาดน้ำมันก็ไม่สามารถสร้างรายได้ตอนนี้ผมก็เลยทุ่มเทเวลาทั้งหมดศึกษาเกี่ยวกับเรื่องน้ำ เรื่องการที่จะหาเงินงบประมาณผลักดันมาขุดลอกคูคลอง ทำฝาย สร้างเขื่อน เอาน้ำเข้าไปสู่ไร่นา แม้จะไม่ได้เป็นผู้แทนก็ยังทำ เป็นประชารัฐ ที่เป็นประชาชนทำงานช่วยรัฐบาล การได้เห็นชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือความภาคภูมิใจที่เราได้ทำ

ชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น

ทุกคนในบ้านเข้าใจทุกอย่าง มีลูกผู้ชาย2 คน โชคดีที่เขาไม่เป็นคนเที่ยว คนโตอายุ 30 แต่งงานมีครอบครัวแล้ว รอเลี้ยงหลาน (หัวเราะ) ส่วนคนเล็กห่างกับพี่คนโต 8 ปี ลูกหลง ส่งไปอยู่กับลุงที่แคนาดา เพราะผมเป็นคนที่เวลาไปต่างประเทศแล้วภาษาเราไม่เก่ง ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เจ็บใจ ก็เลยส่งลูกไปเรียนซะเลย ซึ่งก็จะจบปริญญาตรีปีหน้าแล้วครับ ลูกๆ ไม่สนใจการเมืองหรือวงการบันเทิงเลยครับ ซึ่งเราก็ไม่บังคับ

หนี้สินมีบ้าง แต่ไม่เครียด

คือผมไปเซ้งห้องไว้ คิดจะทำมาค้าขาย ปรากฏว่าไม่บูม ก็ต้องผ่อนจ่ายเดือนละสี่หมื่นกว่า เป็นห้องที่โบ้เบ้ ก็เปิดให้คนเช่าเดือนละหมื่น แต่เราต้องหาเงินไปจ่ายเดือนละประมาณ 37,000 เซ้งเขาไว้ 24 ปี ตอนนี้ก็เหลือประมาณ 3-4 ปีก็หมดละแต่ปัญหาตอนนี้คือไม่มีรายได้ ส่วนที่ยโสธรก็มีบ้าน แต่ไม่มีที่ดิน เมื่อก่อนเคยมีที่อยู่ 10 ไร่ แต่พอเลือกตั้งครั้งสุดท้าย มีหนี้ก็เลยขายหมดเลย เพื่อไปใช้หนี้แต่ก็ยังไม่หมด (หัวเราะร่วน)

อยากกลับมาเล่นหนังเล่นละครอีกไหม

ถ้าบทมาก็รับ แต่อยากเป็นคนดี ไม่อยากเป็นผู้ร้าย คือที่ผ่านมาก็เล่นหลายแบบ อย่างผู้ร้ายก็ไม่ได้ร้ายตรงๆ คือบทที่ทำให้เรามีคาแร็กเตอร์ที่จะเล่น ถ้ามีคนติดต่อมา ก็จะเล่นครับ

บั้นปลายชีวิต

วันหนึ่งถ้ากำลังเราหมดไป ก็คงต้องปล่อยให้คนอื่นเขาทำ เราจะทำงานให้กับประชาชนจนกว่าเราจะไม่มีแรง หรือถ้าพี่น้องประชาชนให้ความศรัทธาเราอยู่ หรือถ้าเลิกการเมืองก็คงไปทำไร่ทำนาเศรษฐกิจพอเพียง เอาแค่เราได้ออกกำลังกายพอ เรารู้วันเกิด แต่เราไม่รู้วันตาย

ฝากถึงนักแสดงยุคใหม่วัยใส

ทุกวันนี้มีโรงเรียนสอนแอ๊กติ้ง เด็กทุกวันนี้ได้เปรียบกว่าสมัยก่อน จะเล่นตัวไหนต้องศึกษาเอง แล้วตอนนี้คนเยอะ ถ้าเราไม่หมั่นฝึกฝน ไม่รักษากฎกติกา ระเบียบวินัย เงินอาจจะหาง่าย ชื่อเสียงก็ไปง่ายเหมือนกัน ฉะนั้นต้องหมั่นฝึกฝน เพื่อผลงานที่ออกมาจะได้เป็นที่ประทับใจคนดู

บอกเลยว่าไม่ใช่แค่อาชีพนักแสดงเท่านั้น ทุกอาชีพถ้าเราหมั่นฝึกฝนจนเป็นนิสัย รับรองว่าอนาคตไปได้ไกลแน่นอน

กุหลาบสีเงิน

Leave a comment