ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/274730

Star Retro : ‘เจี๊ยบ’ วัชระ ปานเอี่ยม สุขเต็มเปี่ยม กับชีวิตที่ออกแบบเอง
ย้อนวันวานสัปดาห์นี้ ได้โอกาสดีพูดคุยกับอดีตสมาชิก “ซูโม่สำอาง” จากโปรแกรมทีวี.ในตำนาน “เพชฌฆาตความเครียด” ซึ่งเคยสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกครัวเรือน จนวันนี้ทีมพิธีกรยุคนั้น กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของวงการบันเทิงไทย เช่นเดียวกับ เจี๊ยบ-วัชระ ปานเอี่ยม ที่ไม่เคยสงบเสงี่ยมในเรื่องของผลงาน ทุกย่างก้าวของเขา ยังคงสร้างสีสันและรอยยิ้มให้กับสังคมไทย
จุดเริ่มต้นบนถนนสายมายา
ช่วงที่ผมเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีพ.ศ. 2521 ก็ได้เริ่มทำกิจกรรม เพราะในคณะมีละคร มีอะไรอยู่บ่อยๆ เพื่อนๆ ก็ผลักดัน หรือเขาหาใครไม่ได้ก็ไม่รู้นะ เลยมาขอร้องให้เราร้องเพลงให้หน่อย พอเรียนอยู่ปี 3 ก็ดันไปหลงใหลบันเทิง ทำทีวี. ทำละครเวทีที่คณะ แล้วผู้ใหญ่ไปดู ก็มาถามว่าใครเขียนบท ให้ออกมายืนข้างหน้า ผมก็เดินตามรุ่นพี่นักเขียนที่ชื่อว่า “จรัสพงษ์ สุรัสวดี” หรือ “ซูโม่ตู้” ออกมา ตอนนั้นผมเข้าเรียน พี่ตู้ก็เรียนจบพอดี ก็ค่อนข้างจะสนิทสนมกัน พี่ตู้ทำละครเวที พวกเราก็ไปเล่น เรียนรู้การทำละคร กำกับการแสดง เขียนบท จังหวะตลกต้องเป็นอย่างไร เป็นการทำละคร สถาปัตย์ฯ ที่เขาเรียก ตลกปัญญาชน ผมก็แยกไม่ออก ตรงไหนคือปัญญาชน เราแค่เล่นแล้วก็ขำเท่านั้นเอง

โอกาสทองเดินเข้าหา
ทางผู้ใหญ่ของเจเอสแอล เห็นผลงานการเขียนบทสมัยเรียนของผมครับ บวกกับได้โอกาสจากรุ่นพี่แนะนำ จนได้มาทำงานฟรีแลนซ์ที่เจเอสแอล เริ่มจากเขียนบททีวี.ทำไป พัฒนากันไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ประภาส ชลศรานนท์,วัชระ แวววุฒินันท์ ก็ทำทีวี.กันอยู่พักใหญ่ ผมก็เป็นฟรีแลนซ์อยู่ ทำโฆษณาด้วย มีงานตั้งแต่เรียนอยู่พ่อแม่ก็สงสัยว่าเรียนหนังสือหรือเปล่า บ้านก็ไม่ค่อยได้กลับ เนื่องจากไปค้างบ้านเพื่อนตลอด แต่ก็เรียนจบมาได้ตามหลักสูตรปกติครับ
ลองวิชาด้านงานสถาปนิก
ผมทำงานเป็นสถาปนิกอยู่พักหนึ่ง ประมาณ9 เดือน จำได้ว่าไปสั่งเขาทุบสิ่งที่สร้างผิดแบบมา สงสารเขามากตอนนั้น (หัวเราะ) คือก็ไปทำงานตามสิ่งที่เรียนมาเพราะเราไม่ได้วางแผนอะไรในชีวิต ทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง เรียนจบปุ๊บ ก็มีรุ่นพี่ดึงตัวไปทำงาน งานโน้น งานนี้ งานนั้น ผมก็ไป แต่ผมเป็นคนที่เขียนใบสมัครงานไม่เป็นนะ จนกระทั่งวันนี้ก็ไม่เคย ตอนช่วงเป็นสถาปนิก ในขณะที่เราก็เขียนแบบวางแปลน พอยกกระดานเขียนแบบออก ก็จะเป็นงานเขียนบท แต่งเพลง อยู่ด้านใต้ตลอด ยังไงก็ทิ้งไม่ได้ หลังจากลาออกจากงานตรงนั้น ก็เพิ่งมารู้ว่าโต๊ะที่เรานั่งเขียนแบบอยู่นั้น คนที่เขาออกไปก่อนหน้า ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน เขาชื่อ “ภิญโญ รู้ธรรม” ผมถึงได้ อ๋อ… โต๊ะนี้มีอาถรรพ์นี่เอง โอเครู้เรื่อง และอีกอย่างผมรู้สึกว่าเราทำงานสถาปัตย์ พอแล้วล่ะ งานสุดท้ายที่ได้ทำก็คือ ต่อเติมพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส เป็นวังแยกส่วนออกมาของสมเด็จพระเทพรัตนฯ ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เลยคิดว่าพอแล้วล่ะครับ

ผลงานที่ทำให้คนรู้จัก
การเป็นหนึ่งใน “ซูโม่สำอาง” ของรายการ “เพชฌฆาตความเครียด” โดยใช้ชื่อว่า “ซูโม่เจี๊ยบ” ครับ ตอนนั้นพี่ตู้เขียนบทมา แล้วแกไม่มาเล่น ผมก็ต้องเข้าไปเล่นแทน แล้วคนก็จำได้ ด้วยเอกลักษณ์ที่บ้าบอของเราจากรายการนี้
จากเบื้องหลังสู่เบื้องหน้า
ตอนรายการ “เพชฌฆาตความเครียด” ชัดเจนที่สุด แล้วก็ทำไปจนหมดมุก ไม่รู้จะหาอะไรมาเล่นแล้ว แต่โชคดีที่ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้กำกับฯท่านหนึ่ง ชวนไปเล่นหนัง เรื่อง “คู่วุ่นวัยหวาน” กำกับโดยคุณ “บัณฑิต ฤทธิ์ถกล”พอเล่นหนัง คนก็รู้จักมากขึ้น เพราะคุ้นเคยกันแล้วจากรายการ “เพชฌฆาตความเครียด” ซึ่งการมาเล่นหนังทำให้เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมเยอะมาก ในศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน พอได้มาร่วมงานกับพี่บัณฑิต ผมก็ไปบอกเขาเลยว่า “ผมขออย่างหนึ่งได้ไหมพี่ ผมขอเรียนรู้เบื้องหลังด้วยได้ไหม?” แกแฮปปี้มาก เหมือนแกก็อยากถ่ายทอดวิชาความรู้ให้คนอื่นได้เอาไปพัฒนาต่ออยู่แล้ว ผมไปขอเรียนเรื่อง กำกับ ถ่ายภาพ เขียนบท จัดแสง ทำฉาก ไปเรียนรู้ทุกอย่าง ขนาดวันไหนไม่มีซีน ผมก็ยังไปกอง ก็ไปดูว่าเขาทำอะไร เพราะเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมา ไม่ใช่สารคดีมีเรื่องอยู่ แล้วถ่ายเลย หนังต้องจัดเตรียมทุกอย่างขึ้นมา ให้เกิดภาพ ตามคนเขียนบทและผู้กำกับ ถือเป็นประโยชน์มากๆ ตรงนี้เราไม่ต้องไปลงเรียนใหม่ในมหาวิทยาลัย เพราะอันนี้ได้ปฏิบัติจริงหลังจากนั้นถ้าเป็นหนังของคุณบัณฑิต ก็จะมีชื่อ เจี๊ยบ- วัชระ อยู่ด้วยเกือบทุกเรื่อง
ไม่ใช่แค่รายการทีวี. หรือหนัง แต่ยังจับงานเพลงด้วย
งานเพลงเหมือนทำเป็นงานอดิเรกครับ ไม่ใช่นักร้องอาชีพ เรารวมตัวกันตั้งวง ไม่ใช่วงที่ร้องตามที่ต่างๆ แล้วมาออกอัลบั้ม วงของเราแต่ละคนมีอาชีพประจำของตัวเอง เราแค่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ เพื่อออกอัลบั้ม เป็นกลุ่มคนที่มีเรื่องคุยกัน อย่าง “จิก-ประภาส” เขาก็ทำรายการทีวี.อยู่ แต่ก็สนุกกับการทำเพลงด้วย ก็เลยเกิดเป็นวง “เฉลียง” ผมร้องกับพี่เล็ก “สมชาย ศักดิกุล”เปิดตัวมาปุ๊บปรากฏว่า เนื้อเพลงแบบนี้ นักร้องแบบนี้ เสียงแบบนี้ ดนตรีแบบนี้ คนฟัง..งง (หัวเราะ) แล้ว “เฉลียง” ก็หายไป 4 ปี คือเราได้สนุกกับการทำเพลง ไม่ดังไม่เป็นไร เราก็ไปทำทีวี. เกมโชว์ ต่างๆ กันไป จนกระทั่งมาตั้งบริษัท “คีตา” เริ่มมีวัตถุดิบ มีนักร้อง มีการประกวดทำกันมาเรื่อยๆ จนผู้ใหญ่เห็น แล้วก็ทำงานด้านโปรดักชั่นดนตรีกัน เบื้องหน้าก็ยังทำตามที่มีคนว่าจ้าง เพราะเราเป็นฟรีแลนซ์ แล้วก็เริ่มมีละครเข้ามา ทำให้งานด้านการแสดงของผมบูมขึ้น

วันที่ตัดสินใจมีครอบครัว
ฮอร์โมนสูบฉีดเองครับ ไม่รู้เหมือนกัน(หัวเราะร่วน) ก่อนหน้านั้นผมมีคนคุยมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้จีบมั่วไปหมดนะ ศึกษาดูกันไปทีละคน จนตัดสินใจว่าฉันจะไม่ไขว่คว้าแล้วนะ กลายเป็นเจอทันทีเลย ตอนนั้นช่วงปีพ.ศ. 2531 คบกัน 4 ปี แล้วก็แต่งงานกันปี 2535 คุณแหม่ม-ลัดดาวัลย์ (ภรรยา) เป็นคนนอกวงการครับ ไปเจอกันตอนที่ไปเที่ยว เวลาอกหักมีปัญหาก็จะไปที่ร้านที่เขาทำงาน ไปนั่งจ้องหน้าเขาบ้างอะไรบ้าง แต่เขาเคยบอกว่าก่อนที่จะเจอผม เขาเคยฝันเห็นผมมาก่อนนะอันนี้เขาไปเล่าให้เพื่อนฟัง ว่าฝันเห็นซูโม่เจี๊ยบ คือเขารู้จักผมในฐานะดารามาก่อน ผมยังแซวเลยว่า ถ้ารู้ว่าฝันเห็นเราก่อน จะแต่งเลย ไม่ต้องรอให้ถึง 4 ปีหรอก(หัวเราะ)
เมื่อเข้าสู่สถานะสามี-ภรรยา
ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจอะไรได้เร็ว เรียนรู้เร็วจดจำอะไรได้ค่อนข้างดี ฉะนั้นเรื่องพวกนี้ไม่ต้องมานั่งตั้งหลัก เป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้หญิง ผู้ชาย อยู่ด้วยกันรักกัน มีเพศสัมพันธ์กัน มีลูก เป็นไปตามขั้นตอนเป๊ะพอลูกโตก็ต้องดูแลกัน ไม่เคยวางแผนว่าจะมีกี่คนแต่งงานกันไป 4 ปี ก็ยังไม่มีลูก จนกระทั่งคิดแล้วว่าจะทำอย่างไร เลี้ยงหมากันไหม เท่านั้นแหละ ลูกมาเลยคนโตผู้ชาย “เพลง” เพลงเอก ปานเอี่ยม เกิดปี 2539 ตอนนี้เขาเรียนที่ ม.ศิลปากร ด้านดุริยางค์ คนเล็กลูกสาว “น้องขวัญ” เพลงขวัญ เกิดพ.ศ. 2542 กำลังเรียนการละคร คณะศิลปกรรม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ … ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะมาด้านนี้กันหมดเลย เพราะเคยให้ลูกๆ เล่นดนตรี เอาเครื่องดนตรีไปกองไว้ใกล้ๆ เขา แต่เขาก็ไม่สนใจ ไม่จับเลย จนกระทั่งตอนนี้ พ่อซื้อเครื่องดนตรีอะไรมา เอาไปเล่นหมดเลย เขาเลือกของเขาเอง ผมบอกก่อนเลยว่า ลูกเรียนอะไรก็ได้นะ ที่ลูกมีความสุข เพราะการเรียนเป็นแค่พื้นฐาน หลังจากนั้นจะประกอบอาชีพอะไร เลือกเอา อย่างพ่อจบสถาปัตย์ฯ ตอนนี้พ่อไม่ได้เขียนแบบแม้แต่เส้นเดียว แต่ทุกอย่างที่เรียนมาและเอามาใช้ก็คือ การเขียนแบบชีวิตเลย เอาวิชาออกแบบมาไว้ในหัวตลอดเวลา คือเราใช้สิ่งที่เรียนมาแอพพลายหมดเลย
ชีวิตเรียบง่าย บนพื้นฐานของความเข้าใจ
ตอนขอแต่งงานก็พูดด้วยกันเลยนะว่า ฉันรักเธอเธอรักฉันไหม ฉะนั้นแล้วก็ต้องยอมรับกันและกัน แต่ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองนะ ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองมาให้ฉันชอบ หรือให้ฉันเปลี่ยนตัวเองไปในแบบที่เธอชอบ เราเป็นยังไงตั้งแต่ต้น ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น ฉะนั้นผมก็จะเป็นคุณพ่อที่ค่อนข้างดุนะ ลูกก็จะกลัว จะคุยอะไรก็ต้องเอาเหตุผลมาคุยกัน พ่อจะพูดในฐานะคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ไม่ใช่ในฐานะที่พูดแล้วลูกต้องทำตาม ถ้าเหตุผลพ่อดีกว่า เหตุผลลูกเก็บไว้ก่อนนะ ทำอันนี้ก่อน มีบางอันที่ความคิดอาจจะไม่ตรงกัน เราก็ให้เขาลองทำดูก่อนถ้าเฟลเมื่อไหร่ ค่อยกลับมาแก้ไข คือเราก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นรอยเท้าเก่าที่เราเคยผ่านมา ถ้าเขาอยากเดินอยากลอง ก็ปล่อยให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วเราค่อยมาปลอบมาแก้ไขกัน

ไม่มีคำว่า “ที่สุด” สำหรับเจี๊ยบ-วัชระ
ผมเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยมีคำว่าที่สุด เอามาจากพี่แจ้ (ดนุพล แก้วกาญจน์) เลยนะ แจ้นี่เพื่อนรุ่นเดียวกันมาครับ เขามี “ที่สุดของแจ้” เออ..เจ๋งนะ แล้วก็มี “ที่สุดของที่สุดของแจ้” ห๊ะ!? เป็นไปได้ด้วยเหรอ มีที่สุดของที่สุดไปเรื่อยๆ? สำหรับผม ไม่มีอะไรที่สุดครับ พอที่สุดปุ๊บเราหยุดละ มันสุดไปแล้วนี่ จบแล้ว เพราะฉะนั้นผมไม่มีที่สุดครับ ทำไปเรื่อยๆ ด้วยองค์ประกอบเท่าที่มี Fit For Today เหมาะสม ณ โอกาสนั้น เวลานั้น วัตถุดิบแบบนี้ ทำอันนี้ได้แค่นี้ ถ้าพูดเป็นหนัง ก็เหมือนสตาร์วอร์เกิด episode 4 ก่อนเลย เพราะ ณ วันนั้น ทำได้แค่นี้ แต่เขาก็ทำตังค์ แล้วหลังจากนั้นก็ทำสลับ episodeไล่ไปเรื่อยๆ คือแล้วแต่ว่าเหมาะสมสำหรับกาลเวลาไหนเท่านั้นเองครับ
สิ่งที่อยากทำ แต่ยังไม่มีโอกาส
ผมเห็นใครทำอะไร ก็อยากทำไปด้วยหมด เห็น “เกี๊ยง” (เกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์) วาดรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ผมก็ยังอยากวาดเลย แต่อย่างว่า ผมก็ขี้เกียจอีก ต้องมีอารมณ์ในการนั่งวาด เป็นคนที่จะทำอะไรแล้วมักถามตัวเองว่า จะทำไปทำไม? วาดรูปนี้ ก็มีคนวาดแล้ว รูปเดียวกันเลย เพราะฉะนั้นจะวาดไปทำไม

หลักเกณฑ์ในการรับงาน
ทำไปก่อน รักงานที่ตัวเองทำ ไม่รักไม่ทำและไม่รับเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าถามว่างานไหนชอบกว่ากัน ตอบไม่ได้เลย ชอบทุกงาน เลยปล่อย แบบอะไรมาใหม่ก็ดู อาจจะใช้ความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้งด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไปคุยกับใครแล้วเขาก็เข้าใจนะ ผมเป็นคนที่พูดรู้เรื่อง “อันนี้ไม่ดีนะ อันที่ดีคืออันนี้” เรามีข้อแนะนำให้ไม่ได้เป็นมนุษย์ออริจินัลไอเดีย แต่ผมสามารถจับนั่นชนนี่ ที่มีตัวตนอยู่แล้วเอามาผูกรวมกันได้ ไม่รู้เคยฟัง “นิทานหิ่งห้อย” ที่ผมเคยเล่าบนเวทีคอนเสิร์ตไหมทุกอย่างมันมีอยู่แล้ว เพียงแต่จับเอามาแล้ว อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับตรงนั้นไหม เหมือนกับละคร เขาทำกันมาหมดแล้วแหละ ผมก็ดึงเอาอันโน้นมา เอาเหตุการณ์นั้นมา แล้วมารวมผนวกกัน เกิดเป็นอันใหม่ ถามว่าเป็นนวัตกรรมไหม ก็ไม่นะ ไม่มีอะไรที่คิดใหม่เลย เพียงแค่เป็นคนจับแพะชนแกะมากกว่า เลือกสรร แล้วสร้างสรรค์สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดเป็นของที่ดูเหมือนใหม่
ผลงานขึ้นหิ้ง
ผมไม่ค่อยได้ยกว่าอันไหนคือที่สุด เวลาทำงานก็ทำไปด้วยความสนุกสนาน ถึงแม้จะเครียด เดทไลน์ใกล้แล้วจี้ตูดมาตลอดก็ตาม พอเสร็จปั๊บก็โล่ง ถามว่าพอเสร็จ อันนี้ดีสุด เพอร์เฟกท์สุดไหม ก็ไม่นะ เฉยๆ เสร็จงานนี้ก็ต่องานใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะองค์ประกอบเยอะมากๆ ในการที่จะมาบอกว่างานอันนั้นดีหรือไม่ดี งานรางวัลก็ได้นะ รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ปี 2529 นักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม จากหนัง “คู่วุ่นวัยหวาน” สมัยคุณหญิงจินตนา ยศสุนทร เป็นกรรมการ ผมแฮปปี้นะ เราก็แสดงเต็มที่กับบทที่ได้รับพอมีคนมอบรางวัลให้ เราก็ดีใจ ภูมิใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ไปตลอด เราก็ต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างผลงานด้านเพลงก็เคยได้รางวัลกับเพลง “ใจเย็นน้องชาย”ทำมิวสิกวีดีโอ ได้รางวัลโทรทัศน์ทองคำ พอประกาศว่าได้ก็เฮ ดีใจกันตรงนั้น เสร็จก็เฉยๆ ทำงาน ผลิตผลงานกันต่อไปครับ
วางอนาคตให้กับตนเอง
ตอนนี้ผมอายุ 57 ปี ก็อยากจะให้ลูกทำมาหากินได้ด้วยตัวเอง ผมไปอ่านคำของในหลวงรัชกาลที่ 9เรื่องความพอเพียง ก็เข้าใจว่าเราไม่ต้องการอะไรแล้วล่ะชีวิตก็คงมีแค่นี้ ไม่รู้จะฟุ้งเฟ้อทำไม บั้นปลายอาจจะไปทำสวน ขายเห็ด ในที่ทางของครอบครัวที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพราะพ่อ-แม่ ญาติๆ อยู่ที่นั่นครับ
หน้าที่รับผิดชอบในปัจจุบัน
ตอนนี้ผมเป็นนักจัดรายการอยู่ที่คลื่น สทร. FM 106 ช่วงเวลา 05.30-07.00 น. ทำทุกวันจันทร์-เสาร์ ถามว่าเป็นอาชีพไหม ก็คงไม่เชิง เพราะตอนนี้มีรายการเดียว ทำมา 2 ปีแล้ว เป็นของบริษัท เวิลด์ ไวด์ มีเดีย เป็นรายการเหมือนภูมิภาคข่าว เอาข่าวจากหนังสือพิมพ์ ออนไลน์ โลกโซเชียล มาเล่า เหมือนเราเป็น บก. เองด้วยอ่านข่าวที่เป็นเชิงบวก เพราะเราเองรู้สึกว่าถ้าเจอเรื่องหดหู่ตั้งแต่เช้า ก็จะหดหู่ไปทั้งวัน แต่ถ้าเรื่องไหนที่เป็นเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล เราก็จะเลือกมาพูดให้ฟัง อัพเดทสถานการณ์ให้กับผู้ฟังครับ แล้วก็รับผิดชอบงานขาจร อีเว้นท์ ร้องเพลงอัดเสียงโฆษณา ก็ยังใช้ความเป็นตัวตนด้วยเอกลักษณ์ของเสียงที่ไม่เหมือนใคร และก็มีงานกำกับฯละครเวที “ขอพบในฝัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล” ครั้งที่ 6 สิ่งนี้ก็ไม่ใช่นวัตกรรมใหม่อะไร แต่ที่จะได้เห็นกันในละครเวทีเรื่องนี้คือการเอาเพลงสุนทราภรณ์มาจัดเรียงอย่างมีระบบทางอารมณ์ อยากให้ทุกคนมามีความสุข และสนุกไปกับเนื้อหาของละครครับ
ผู้กำกับฯ ที่หลายคนคิดว่าดุ น่ากลัว แต่เมื่อได้ทำความรู้จัก กับตัวตนที่แท้จริงของ “เจี๊ยบ-วัชระ ปานเอี่ยม” เพื่อนร่วมงานต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..น่ารัก!!
กุหลาบสีเงิน