ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/277254

Star Retro : ‘แจ๊บ-เพ็ญเพ็ชร’ 25 ปี กับอาชีพที่รักและเลือก
จากเด็กหนุ่มพูดน้อยขี้อาย แต่เพราะได้รับแรงสนับสนุนและผลักดันจากคุณแม่ จึงทำให้ “แจ๊บ-เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล”ได้เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิง… 25 ปีกับเส้นทางสายนี้ เขาต้องพบเจอกับอะไรบ้าง สตาร์เรโทรขอพาทุกท่านไปร่วมค้นวันวานสุดประทับใจของหนุ่มแจ๊บ และครอบครัว ตัว จ. ที่สุดแสนจะอบอุ่น
“สำหรับงานละครตอนนี้ที่กำลังออนแอร์อยู่ก็มีเรื่อง Princess hours Thailand รักวุ่นๆ เจ้าหญิงจอมจุ้น, ละครคน ส่วนเรื่อง ชั่วโมงต้องมนต์ ถ่ายจบไปแล้ว มาตุภูมิหัวใจ, แหวนดอกไม้ กำลังถ่ายทำอยู่รุ่นนี้งานจะเยอะหน่อย(หัวเราะ) รับได้เยอะ จริงๆ ตอนนี้มีลูก ก็เลยต้องใช้ตังค์เยอะ ค่าเทอมลูกน่ากลัวมาก งานเพิ่งจะมาเยอะ ช่วง 2-3 ปีนี้ครับ ตั้งแต่ทีวี.เปลี่ยนเป็นดิจิตอล มีช่องเกิดใหม่เยอะ งานก็เลยเยอะตามมาด้วย เลยดีสำหรับนักแสดง แต่เราก็มีเลือกงานนะ ดูบทแล้วก็ตัวผู้จัด รวมทั้งช่องด้วย อย่างเรื่อง Princess hours ทางช่องทรูโฟร์ยู ก็เป็นบทบาทใหม่ที่ไม่เคยเล่น เป็นละครที่รีเมคมาจากเกาหลี เป็นเรื่องคอเมดี้รักใสๆ ของเจ้าชาย แต่ว่าก็จะมีช่วงดราม่าบ้าง ผมเล่นเป็นพ่อของเจ้าชาย คือเป็นพระราชาที่ค่อนข้างซีเรียส ผลักดันอยากให้เจ้าชายขึ้นมาเป็นรัชทายาท แต่ว่ามันจะมีเรื่องราวภายในบ้านเมือง และในขณะที่ลูกก็ไม่อยากเป็น ก็จะมาในลุคที่นิ่งๆ เป็นผู้ใหญ่ที่มองกว้างจนลืมมองรายละเอียดของครอบครัว ทำให้มีปัญหากับลูก เรื่องนี้เสื้อผ้าก็จะอลังการมาก เพราะว่าเป็นเรื่องราวของเมืองสมมติ เป็นอีกลุคนึงที่ไม่เคยเล่น และเราต้องมีมาดตลอดเวลา ผมต้องไปดูรูปราชวงศ์เก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือว่าต่างประเทศ ดูวิธีการนั่งการพูดจาว่าจะประมาณไหน”

เมื่อต้องขยับสถานะบทบาท
ของตัวผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้เลยนะครับ เพราะว่าตอนที่เป็นพระเอกอยู่ ก็รับพระรอง เป็นตัวร้ายด้วย มันสลับกันอย่างนี้ตลอดเวลา ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเราติดอยู่กับตรงนี้ว่าเป็นพระเอกอย่างเดียว เราเป็นเหมือนนักแสดงทั่วไป คือใครจ้างเรามา แล้วบทดีเราก็เล่น เล่นเป็นคุณพ่อก่อนชีวิตจริงจะเป็นคุณพ่อก็มีหลายเรื่องเหมือนกันความรู้สึกตอนนั้นก็มีแอบเคอะเขินบ้าง อุ้มลูกไม่ค่อยจะเป็น แต่ว่าเดี๋ยวนี้คล่องเลย (หัวเราะ) เริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้วว่าเราห่วงลูกหวงลูกยังไง ก็เคยมีเล่นเรื่องนึงเป็นคุณพ่อหวงลูก เราก็จะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ทำไมไม่ปล่อยเขาบ้าง แต่ว่าพอเรามีลูกเองโอ้โห!หวงลูกมาก คือยิ่งกว่าในละครเสียอีก
ข้อตกลงกับภรรยา
เขาไม่ยุ่งเรื่องงานเลยนะครับ รับตังค์อย่างเดียว(หัวเราะ) แต่ว่าเรามีลิมิตของเราเอง คือเราก็ตั้งไว้ว่าถ้าเป็นอีโรติกแบบที่เคยเล่นมาอย่าง “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็คงไม่รับแล้วคือเกรงใจภรรยาและลูก เพราะอีกหน่อยลูกมาดูงานพ่อ มันก็อาจจะดูไม่ดี แต่ถ้าบทบาทที่มีเลิฟซีนอะไรนิดหน่อยก็ยังโอเค แล้วภรรยาผม เขาเคยพูดครับว่าเวลาเราอยู่บ้านกับในละครไม่เห็นพูดเหมือนกันเลย เปลี่ยนเสียงเปลี่ยนบุคลิกได้ยังไง เราก็บอกเขาว่านี่แหละการแสดง เขาก็เลยเข้าใจ อย่างที่ผ่านมา “เขี้ยวราชสีห์” ลูกกลัวไม่กล้าดูพ่อเล่นละคร เพราะว่าพ่อจะดูดุมากเป็นหัวหน้าใหญ่สั่งฆ่าคนนั้นคนนี้

วางอนาคตให้กับลูก
ตอนนี้ก็มีลูกสาวคนเดียว “น้องจาดา” 4 ขวบกว่าเขาก็เริ่มพอจะรู้แล้วว่าพ่อเป็นดารานักแสดง คือเขาก็เห็นเราในทีวี.อยู่ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เกิดมาก็เห็น คงจะอีกสักพัก เขาถึงจะเข้าใจ แต่ที่บ้านก็จะไม่ค่อยได้ให้เขาดูละครเท่าไหร่ จะให้ดูการ์ตูนช่องสำหรับเด็กมากกว่า ตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าเขาจะมีแววเหมือนพ่อหรือเปล่า แต่ว่าเขาก็ซนครับ อนาคตเรื่องอาชีพให้เขาเลือกเอง แต่เขาจะชอบทำเลียนแบบพ่อ เขาติดพ่อ จะพูดครับด้วยนะ ตอนแรกก็กลุ้มใจเหมือนกัน เพราะว่าเขาไม่เล่นตุ๊กตา จะเล่นไดโนเสาร์กับพวกแมลง เอามาวางแกล้งให้ป้าตกใจแต่หลังๆ เริ่มมาใส่ชุดที่เหมือนเจ้าหญิง ชอบใส่กระโปรงมากขึ้น พอดีว่าเขาไปโรงเรียนด้วยแหละครับ มีเพื่อนสนิทเขาคนนึงอยู่หมู่บ้านเดียวกัน แล้วเพื่อนจะชอบใส่กระโปรงใส่รองเท้าที่เป็นผู้หญิงๆ เขาก็เลยอยากใส่ตามเพื่อนบ้าง
ชีวิตเปลี่ยนหลังมีครอบครัว
เปลี่ยนเยอะเลยนะครับ ตอนแต่งงานก็เปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตหมดเลย แล้วยิ่งมีลูกนี่ยิ่งเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เลิกเที่ยวเลิกเตร็ดเตร่ ทำงานแล้วก็กลับบ้าน (เปลี่ยนเองหรือภรรยาขอ) เราเปลี่ยนเองครับพอมาถึงจุดนึง เราก็มองว่าเราเต็มที่มาเยอะแล้ว ร่างกายก็ทรุดโทรม ต้องประหยัดเซฟพลังงานไว้ดีกว่า แต่ก่อนเที่ยวยันตีสองตีสามแล้วตื่นเช้าไปทำงานทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหวแล้ว นอนเที่ยงคืนตื่นเจ็ดโมงนี่ก็ยากแล้ว
ย้อนเส้นทางความรัก
กับ “จูน” (ภรรยา) คือเขาเป็นเพื่อนของน้องเพื่อนไปเจอเขาที่ร้านอาหาร เราก็ปิ๊งเลย ตอนแรกเพื่อนจะแนะนำน้องสาวเขาให้ก่อน แต่เราเจอคนนี้ เราก็ขอเบอร์และจีบเลย เปลี่ยนเป้าหมายทันที จูนคือสเปกเลยครับ เหมือนรักแรกพบ สเปกเราก็คือเขาหุ่นดีสวย พอจีบไปก็รู้ว่าเขาเป็นคนจิตใจดี ไม่คิดร้ายกับใคร แล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิง จะบอยๆ หน่อย ไม่จุกจิกไม่จู้จี้ ไม่ตาม บางทีเราต้องเป็นคนโทร.หาเขาว่าทำอะไรอยู่ เพราะว่าเขาไม่เคยตามเราเลย คือตามหน่อยก็ได้นะ ตอนที่คบกันแรกๆ เราก็ยังไม่ได้เปลี่ยนตัวเอง ยังชวนกันเที่ยวเฮฮาอยู่ เขาเป็นคู่ดริงค์เลยครับ เป็นคู่ที่พาไปเที่ยวได้ แต่พอมีลูกก็เปลี่ยนกันเลยทั้งสองคนตัวเขาเองก็เปลี่ยน ไม่เที่ยวแบบนั้นแล้ว เราก็คือจะมาเที่ยวกับลูกแทน เวลาเราจะไปเที่ยวไหนก็จะคิดเผื่อลูกว่าตรงนี้เขาจะไปได้ไหม ลำบากไหมพอเราพาเขาไปด้วยเขาก็แฮปปี้

คุณพ่อในแบบของแจ๊บ
ที่บ้านลูกจะกลัวเราที่สุด จะดุเพราะว่าเวลาเล่นกับเขา เราก็จะจริงจัง แล้วถ้าเขาทำอะไรผิดเราก็จะบอกเขาให้หยุด อย่าทำอีกนะ พอเขาไม่เชื่อ เราก็จะดุ พอเสียงเปลี่ยน เขาจะรู้แล้ว ก็จะจ๋อยๆ แล้วพยักหน้ากับพ่อและเล่นต่อ ไม่ได้ไปดุย้ำๆ เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นขี้บ่น ส่วนแม่เขาไม่รู้ว่าเขาดุยังไง คือดุแล้วลูกไม่ค่อยฟัง (หัวเราะ) กลายเป็นแม่ขี้บ่น แล้วเวลาเราบ่น แม่ก็จะกลัวแทนลูกอีก มันจะต้องมีคนบอกให้เขาทำสักคนครับ ไม่งั้นเขาก็จะไม่เชื่อ
กับชีวิตในวงการบันเทิง
อยู่วงการมาถ้าจริงๆจังๆ นับจากหนังเรื่องแรกก็ประมาณ 25 ปีแล้ว แต่ถ้านับโฆษณาตัวแรกนี่คือตั้งแต่ 4 ขวบเลย เริ่มเล่นหนังเรื่องแรกตอนนั้นอายุ 18 ตอนนี้ก็ 43 แล้ว(หัวเราะ) จริงๆ ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นนักแสดงเลยนะครับ แต่ว่าจะชอบดูหนังและคุณแม่เป็นคนปลูกฝังเพราะว่าคุณแม่เป็นคนที่ชอบดูหนังมาก ก็จะชวนกันออกไปดูหนังทุกวันศุกร์ บางทีดูทั้งวันศุกร์วันเสาร์เลย สมัยก่อนจะมีโรงหนังอยู่แถวพระโขนง ซึ่งจะเป็นหนังควบ คือฉาย 2 เรื่อง ดูทั้งหนังจีนหนังไทยหนังฝรั่ง บางทีก็จะเป็นซัพไทย เด็กๆ เราก็อ่านไม่ค่อยทัน พอโตหน่อยก็เริ่มอ่านทัน เริ่มเข้าใจว่านี่คือหนังฮอลีวู้ด นี่หนังจีน ดูตลอด และเช่าวีดีโอมาดูที่บ้านอีก แล้วพอดูไปหนักๆ เราก็เริ่มมีดาราที่เราชื่นชอบชื่นชม และเราจะจดจำวิธีการเล่นของเขา พอเขาเปลี่ยนเรื่องเล่น เราก็ดูเขาว่าเขาเล่นอีกแบบนะ ก็เริ่มสนใจการแสดงนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้อะไร แต่ว่าช่วงแรกที่ได้มาเล่นก็เอาเทคนิคของนักแสดงเหล่านั้นมาใช้บ้าง และมาปรับให้เป็นของเรา แต่แรกถือว่าการแสดงเรายังไม่ค่อยเป็นเลยด้วยความที่เราเป็นคนนิ่งๆ ถ้าจะเล่นให้มันอินเข้ากับบุคลิกมันก็จะมาเป็นห้วงๆ คือช่วงที่มีอารมณ์เยอะ เล่นเยอะๆอารมณ์มันก็จะมา แต่ว่าช่วงที่ปกติ มันจะไม่ค่อยออก เราจะเกร็งๆ นึกไม่ออกว่าเราต้องเล่นแบบไหน ก็ยังดีได้ครูหลายคนที่มช่วยตรงนี้ คนแรกที่อยากจะบอกเลยที่ทำให้เรามีสมาธิให้เราโฟกัสกับการแสดงก็คือ“หม่อมน้อย” (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ผมมีโอกาสได้ไปเรียนกับหม่อมน้อย คือหม่อมเรียกไปเล่นเรื่อง “สี่แผ่นดิน” บทก็ไม่เยอะมากแต่ก็เหมือนเป็นการเริ่มจุดประกาย ก่อนหน้านี้เราไม่ได้มีหลักในการเล่นแบบนี้ตั้งแต่ได้ไปเล่นกับหม่อมมา งานเราก็ดีมาตลอด พอกลับไปดูงานเรารู้สึกว่าเราดูมีสมาธิ ก็รู้สึกภูมิใจกับงานที่ทำมาตลอดว่างานเราดีขึ้นเรื่อยๆ
กับเพื่อนนักแสดงรุ่นเดียวกัน
ทุกวันนี้ก็ยังมีติดต่อพูดคุยหรือว่าแซวกันบ้างตามอินสตาแกรม เวลาเจอกันก็เหมือนเดิม เราเป็นเพื่อนกันตอนเด็ก รู้กันหมดแล้วว่าแต่ละคนเป็นยังไง ก็เลยไม่ค่อยมีกำแพงเท่าไหร่ เข้าไปก็คุยได้เลยอย่าง “นัท มีเรีย, แอน ทองประสม” ก็ได้ร่วมงานกันบ่อยผมเล่นละครเยอะกว่าหนัง ทุกวันนี้เวลาไปโชว์ตัวหรือว่าเจอแฟนละครที่มาจากทางอีสาน แต่จะอายุเยอะหน่อยนะ (ยิ้ม) เขาก็จะเรียก “เอี้ยง” จากเรื่อง “ชิงช้าชาลี” ที่เล่นคู่กับ แอน ซึ่งเป็นละครเรื่องแรกและยังได้พูดภาษาอีสานด้วย เป็นละครแค่สิบกว่าตอนช่อง 7 เหมือนจะทำมาคั่นเวลาเพราะว่าจะมีละครฟอร์มใหญ่ต่อ แล้วละครดันเปรี้ยงขึ้นมา จำได้ว่าต้องมาถ่ายเพิ่มอีกสองสามตอนครับก็เหนื่อยเลยช่วงนั้น ถ่ายเลิกดึกกลับมาถ่ายเช้าอีกวัน สมัยก่อนจะมีบรรยากาศแบบถ่ายไปออนไป ก็ค่อนข้างเหนื่อยครับ แล้วเราก็ไม่ค่อยชินด้วย

ผลงานชิ้นนี้คือที่สุดในใจ
ประทับใจละครเรื่อง “บุญชู” เป็นละครที่ออกอากาศทางช่อง 5 ตอนเย็น ซึ่งเรตติ้งตอนนั้นก็ถือว่าดีนะครับ ที่ประทับใจมากๆก็คือบุญชู เป็นตัวละครที่เราชอบมาก เราเป็นแฟนคลับบุญชู เลยดูทุกภาค ชอบ “พี่หนุ่ม-สันติสุข” เล่นเรื่องนี้มาก “อาบัณฑิต ฤทธิ์ถกล”เรียกไปแคสเราจำบุคลิกจำไดอะล็อกบุญชูแทบจะได้เลย เราก็เลยได้เล่น คือคนก็งงว่าทำไมเป็นอย่างนี้ สรุปก็คือมันเลยไม่ค่อยเป็นบุญชูเท่าไหร่ เพราะว่าเราจำแพทเทิร์นพี่หนุ่มไว้ และด้วยความที่เราติดเล่นละครอีกเรื่องนึง มันก็เลยจะตัดผมอะไรไม่ได้ ก็เลยเป็นบุญชูดูบูติกหน่อย ดูไม่ค่อยเป็นชาวบ้าน อีกอย่างผิวเราขาวด้วย จำได้เลยมีฉากในท้องนา อาบอกว่าบุญชูเดินมาสว่างเลย ดูกรุงเทพฯมาก แต่พูดเหน่อนะ ก็เป็นตัวละครที่ชอบมาก เพราะเราฝันไว้เป็นตัวละครที่เป็นฮีโร่ของเราเลย พูดเหน่อได้ก็เพราะดูบุญชูนี่แหละครับ และไอดอลทางการแสดงของผมก็คือพี่หนุ่ม เรามีโอกาสได้ร่วมงานได้เจอกันบ่อย แต่ว่าไม่เคยบอกเขานะ แอบชื่นชมดีกว่า (หัวเราะ) และแอบดูการแสดงเวลาที่พี่หนุ่มเล่น อย่างล่าสุดเราเล่น “ขมิ้นกับปูน”กับ “ละครคน” ก็สนุกดีพี่หนุ่มเล่นมันดีครับ
อีกหนึ่งบทบาทที่อยากจะเล่น
เล่นมาเกือบหมดแล้วนะครับ มันอาจจะมีรายละเอียดขึ้นมาอีกนิดนึงคืออาจจะเป็นคนโรคจิตเป็นร้ายแบบโรคจิต ซึ่งยังไม่เคยเล่นแบบนี้ เล่นแค่ร้ายเฉยๆ เรารู้สึกว่าคนที่เป็นโรคจิตถ้าเราได้แสดง มันน่าจะลึกกว่าการเล่นร้ายอีก เพราะว่าเราต้องเล่นไปถึงจิตข้างใน ซึ่งก็น่าจะสนุกดีและนอกเหนือจากการเป็นนักแสดงแล้ว ความตั้งใจตั้งแต่แรกเลย คืออยากจะลองเขียนบท แต่เราก็ยังไม่มีเวลาที่จะมานั่งลงเขียน พล็อตเรื่องน่ะมีแล้ว แต่ว่าเราไม่ได้เรียนด้านนี้มา ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน กะว่าจะเขียนเป็นหนังสือ แล้วให้คนมาอะแดปต์ที่อยากจะเขียน เพราะว่าเราก็ผ่านมาแล้วหลายบทบาท เลยมีเรื่องที่เรานึกอยากจะทำ แล้วเราก็มีตัวละครที่เรานึกไว้ เราอยากให้มีตัวละครแบบนี้ในเรื่อง แต่ยังไม่เคยมีใครทำเลยอยากจะทำออกมาเป็นหนังครับ แต่เดี๋ยวว่างๆ จะลองเขียนดู และอีกอย่างคือ คนเขียนบท ในบ้านเราน้อยมากอยากให้น้องๆ รุ่นใหม่ลองดู อาชีพตรงนี้ เพราะว่าอีกหน่อยน่าจะเปิดกว้างขึ้น ค่าตัวเริ่มเยอะด้วยนะงานเยอะด้วย ยิ่งเขียนดีๆ นี่งานเต็มแลย

ณ วันนี้
ก็จะยังรับงานแสดงต่อไปเรื่อยๆ ถือว่าเป็นอาชีพของเราแล้วล่ะทำมาถึง 25 ปี แล้วก็ยังมีคนจ้างเราอยู่ จะพยายามตั้งใจคอนเซนเทรสกับมัน ถือเป็นอาชีพหลัก คงจะหนีจากตรงนี้ไม่ได้ เราชอบเรารักที่จะเป็นนักแสดงด้วยนะครับ มันมีอะไรให้ทำเยอะ พอเล่นๆ
ไปเราก็สนุกกับงาน ไม่ได้มองว่าจะทำอาชีพอื่นเลยเรามองแค่ตรงนี้อย่างเดียว ยังดีที่ยังมีคนจ้างอยู่ จ้างจนตอนนี้รับไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ต้องขอโทษเพราะว่าคิวมันเต็มแล้วจริงๆ และก็เกรงใจคนที่เรารับไว้ก่อนด้วย ไม่อยากให้งานที่เรารับแล้วเสีย บางเรื่องเลยจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธไป เราเองถือว่าโชคดีมากที่มีผู้ใหญ่ยังเอ็นดูอยู่ ต้องยอมรับว่าช่วงแรกๆ เราก็ยังเละๆ เทะๆ เหมือนกัน เล่นก็ไม่ค่อยได้ไม่ค่อยรักษาเวลา ขอบคุณที่ทำให้เราผ่านช่วงนั้นมาได้ พอผ่านช่วงนั้นมาเราก็รับผิดชอบมากขึ้น พอดีขึ้น งานเลยยังคงอยู่ได้
“อยากฝากน้องๆ ว่าการแข่งขันตอนนี้มันสูงมากดังนั้นถ้าเราได้งานมาตรงนี้แล้วต้องรับผิดชอบกับมันเยอะๆตั้งใจทำงานนะครับ ถึงแม้บางคนจะยังเรียนอยู่ก็อยากให้คิดว่าเราทำงานเป็นรายได้ให้เรา และเราสร้างรายได้ให้กับคนอื่นด้วย ดังนั้นเราต้องมีความรับผิดชอบสูงนิดนึงตั้งใจให้เต็มที่เพราะว่ามันสามารถยึดเป็นอาชีพได้”
กุหลาบสีเงิน