ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/278448

Star Retro : อดีตดาวร้ายหนวดงาม ‘ขวด-วรานันท์ ยูสานนท์’ คนเบื้องหลัง ดีกรีโปรดักชั่นระดับประเทศ
จากคนเบื้องหลังที่รักในงานศิลป์ ก้าวสู่งานเบื้องหน้า ด้วยจังหวะและความไม่ตั้งใจ แต่นั่นกลับทำให้ “ขวด-วรานันท์ ยูสานนท์” แจ้งเกิดในฐานะนักแสดง วันนี้เขาหวนคืนสู่งานเบื้องหน้าอีกครั้ง พร้อมงานเบื้องหลังที่รัก กับลุคเดิมที่แฟนๆ คุ้นเคย
“สามสิบปีผ่านไปแล้วครับที่อยู่ในวงการบันเทิง ทั้งเล่นละคร แล้วก็งานเบื้องหลังต่างๆ ตอนที่เล่นละครเต็มตัวเรื่องแรก “ห้องหุ่น”ปีพ.ศ. 2532 ยังอายุแค่ยี่สิบกว่าเองแต่ว่าก่อนหน้านี้ก็จะมีละครสั้นอะไรเยอะแยะเลย รวมทั้งมิวสิกวีดีโอแต่ถ้าพูดถึงงานชิ้นแรกก็คงจะเป็นมิวสิกวีดีโอของ “พี่ปั่น”(ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว) หลังจากนั้นชีวิตก็เริ่มเข้ามาในวงการ”
ก่อนที่จะเข้ามาสัมผัสวงการบันทิง
จริงๆ ผมมาสายอาร์ตนะครับ เรียนมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรียนดีไซน์อินทีเรีย ที่เป็นจุดเริ่มต้นคือมีเพื่อนคนนึงเขาทำที่คีตา เอนเตอร์เทนเม้นท์ เขาทำเรื่องของโปรดักชั่นสเตจ อยู่กับ “พี่จิก” (ประภาส ชลศรานนท์)เราก็เลยได้เข้ามาสู่วงการบันเทิง คือเริ่มเข้ามาจากการทำพร็อพ ทำฉาก จัดคอนเสิร์ต แล้วก็ไปอยู่กับ “พี่เก้ง”(จิระ มะลิกุล) ทำโปรดักชั่น ทำฉาก ทำพร็อพ ให้พี่เก้งอยู่พักนึง แล้วพี่เก้งก็จับมาเล่นมิวสิกเพลง “รักยืนยง” เขาเห็นผมที่หน้าเวทีขณะที่กำลังเตรียมงาน เขาก็บอกว่าให้มาแคสให้หน่อย มีงานเอ็มวี เราก็ไม่เอาไม่ชอบการแสดงเรากลัวว่าเราจะไปทำอะไรให้เป็นที่ไม่พอใจเขา แล้วจะเสียงานเปล่าๆ แต่พี่เก้งเขาก็ไม่ยอม แล้วพอไปนะก็ไม่ได้แคส เล่นเลย เอ้า..เล่นเลยก็เล่น คือสมัยก่อนไม่ค่อยมีโมเดลลิ่งไม่ค่อยมีคนที่จะมาแคสติ้ง สายงานการแสดง สำหรับตัวผมเองก็ยังมีปัญหากับทางครอบครัวเลยคือเหมือนกับว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน เขาไม่ได้นิยมชื่นชม เราก็ไม่ได้คิดมาก เพราะว่ามันก็บังเอิญมากับสายศิลป์ที่เราเรียนด้วย ซึ่งเราสามารถทำควบคู่กันมาได้ และผมก็ทำมาตลอด เรื่องการแสดงก็ทำไป แต่ว่าจริงๆแล้วตัวเองทำโปรดักชั่น ทำรายการโทรทัศน์ คอนเสิร์ต อีเวนท์ ทำละครกับ “พี่หลุยส์” (สยาม สังวริบุตร) คือทำเยอะ ก็เรียกว่าอยู่ในสายงานนี้มาตลอดชีวิตครับ

กับความสำเร็จในวันนั้น
ตอนนั้นโอ้โห! คือไม่นึกว่าจะงานเยอะขนาดนั้น ทำทุกอย่าง เจอ “พี่ตา” (ปัญญา นิรันดร์กุล) เขายังทักเลย เพราะว่าผมไปเล่นหนังเรื่อง “เกิดอีกทีต้องมีเธอ”แล้วไปออกรายการเป็นดารารับเชิญใน “ชิงร้อยชิงล้าน”พี่ตายังแซวเลยว่าสรุปขวดทำอะไร(หัวเราะ) คือเขาก็จะรู้จักคุ้นเคยเราในงานเบื้องหลัง แต่เราก็มามีบทบาทเบื้องหน้าอีกมากมาย เราก็บอกเขาไปว่าเราทำทุกอย่างไม่เลือกอยู่แล้วจะให้แสดงก็ได้ ให้ไปออกแบบทำเบื้องหลัง เราก็ทำได้หมด แต่ก็ยังไม่ได้ชอบการแสดงสักเท่าไหร่นะครับ คือเข้าใจนะว่ามันทำให้เรามีชื่อเสียงโอเคมันก็เป็นผลดีในแง่ของตัวเรา แต่ให้ไปเปรียบเทียบกับนักแสดงอาชีพที่เขามีความสามารถจริงๆ เราทำไม่ได้ระดับนั้นหรอก แต่บังเอิญคาแร็กเตอร์เราที่ช่วงหลังๆเราก็ไว้หนวดดูอาร์ตๆ คนที่เขากำลังหาคนไว้หนวดไว้เคราตอนนั้นมีน้อยมากเลยนะ เราก็เลยได้ไปลง “ห้องหุ่น” เพราะไว้หนวดไว้เครานี่แหละ
จับทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังคู่กันไป
เชื่อไหม..ผมเล่น “ห้องหุ่น” ด้วยความที่ถ่ายไปออนแอร์ไปตลอด เลยไม่รู้ฟีดแบ๊กว่าเป็นยังไง จนวันสุดท้ายที่เขาถ่าย เรียกว่าเป็นละครที่เรตติ้งถล่มทลายมาก เป็นละครที่น่ากลัว คือหลอนมาก ผมเล่นเองยังกลัวเลย “ห้องหุ่น” ถือว่าเป็นละครที่แจ้งเกิดทางการแสดงของผมเลยก็ว่าได้ หลังจากนั้นก็มีมาเรื่อยๆเล่นไปจนงงตัวเองเหมือนกัน เล่นจนมันกลายเป็นฮอบบี้เพราะว่างานประจำเราก็มีอยู่ คือเปิดบริษัทเอง ก็เริ่มรับงาน ทำอีเวนท์ทั่วประเทศ เปิดตัวโครงการสินค้าและทำคอนเสิร์ตกับ “พี่แอ๊ด คาราบาว” อยู่หลายปีพอสมควร และไปทำมิวสิกวีดีโอเป็นร้อยๆ เพลงเลยครับ ดังนั้นก็เลยจะไม่ค่อยได้เห็นงานเบื้องหน้าเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอกว่าสายงานนั้นสมัยก่อนไม่ได้มีคนเข้ามามากขนาดนี้ ทุกคนก็เลยมาลงที่เรามาก งานเบื้องหลังเด่นๆ เช่นของยามาฮ่าที่เขาจัดทั้งของไทยและเกาหลี และศิลปินแกรมมี่เบอร์หลักๆ เช่น บอดี้สแลม,เสก โลโซ แล้วพอดีมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยช่วงหลังผมก็ออกมาทำของผมเอง งานเบื้องหลังนี่ทำมานานแล้วครับ ตั้งแต่ปี 2528 ผมเรียนศิลปากร ปี 3 ก็เริ่มออกมาทำงานแล้ว จนอาจารย์เขาไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่แต่ผมมองว่ามันคือโอกาส เรียนไปยังไงเราก็ต้องมาทำงาน เราก็ได้อะไรเยอะมากกับสามสิบปีที่ผ่านมา แต่เสียดายตรงที่ว่าผมไม่ได้กำหนดจุดยืนที่จะเอามาเป็นธุรกิจธุรกรรมที่ตัวเองจะเอามาใช้เป็นงานประจำ คือทำเยอะและอาจจะเกินไปก็ได้ เราไม่ได้ไปตีกรอบว่าเราจะทำอะไรเป็นหลักในชีวิต ทำหลายอย่างเกิน มันก็เลยวนเป็นก้อนกลมๆ

กลับมาสานต่องานเบื้องหลังที่ตัวเองรัก
ในปัจจุบันผมยังไม่ได้มีธุรกิจอะไรรองรับตัวเองอย่างเป็นทางการ แต่ว่าตอนนี้ก็กลับมาอยู่ในสายโปรดักชั่นอีกครั้ง อยู่ในส่วนของงานผลิต ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นอะไรที่สอดคล้องนะเพราะว่าเราทำมาตลอดชีวิตแล้ว กลับมาทำเบื้องหลัง และตอนนี้ก็ทำเรื่อง “นางบาป”กับทาง “น้าโหน่ง”(วีระชัย รุ่งเรือง) ซึ่งเราก็ทำด้วยกันมานานหลายสิบปี ตั้งแต่สมัยอยู่ดาราวิดีโอ ก็มาเป็นโปรดักชั่นดีไซเนอร์ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากหรอกนะครับ คือน้าโหน่งเขาอยากจะให้มาเป็นทีมผู้กำกับ เป็นทีมที่ปรึกษา เพราะว่างานนี้มันมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องอาร์ตค่อนข้างสูงนะด้วยความที่เป็นละครพีเรียดที่ผสมกับยุคปัจจุบันที่เกี่ยวเชื่อมกัน เขาก็เลยอยากให้เข้ามาช่วยคุม แต่ว่าก็โดนให้เล่นด้วยแล้วนะ (หัวเราะ) คืออยู่ตรงนี้มันก็เลี่ยงไม่ได้ ก็ช่วยๆ กันไป
งานเบื้องหน้าที่มีบ้างประปราย
ที่ผ่านมาไม่ได้รับงานแสดงมากนัก รู้สึกเหมือนกลัวการแสดง เพราะว่าเป็นคนที่เครียด แล้วบางทีเข้าไปอยู่หน้ากองแล้วรับแรงกดดันเยอะ คือส่วนใหญ่เราก็ต้องเล่นเป็นตัวร้าย เราจะทำหน้ายังไงแสดงยังไง แต่พอหลังๆ การแสดงมันถูกพัฒนาแล้ว น้องๆ ที่เข้าวงการกันเขาไปเรียนการแสดงมา เขามีแบบแผนในการเล่น เราก็เลยมีความรู้สึกว่าเราเองไม่ได้เดินมาทางสายงานแสดงโดยตรง เราโดนหยิบมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องการแสดงผมมองว่าคนที่จะมาเป็นนักแสดงเขาต้องมีนอกจากความพร้อมแล้ว เขาต้องมีความสามารถจริงๆ ถึงจะเป็นนักแสดงที่ดีได้ เราก็เล่นได้มีความสามารถ แต่ว่ากลัวแรงกดดันเ เราทำงานเบื้องหลังด้วยเราก็เลยจะไปห่วงว่าตรงนั้นตรงนี้มันจะดีไหม ซึ่งจริงๆการเป็นนักแสดงที่ดีเราไม่ต้องคิดหรอก ทำในสิ่งที่คุณเข้าใจและทำไปเลย

สิ่งที่ทำให้ยิ้มได้
ยังคงมีแฟนๆ จดจำทักทายเราบ้าง เวลาไปไหนมาไหน คือจะเป็นรุ่น 40 อัพ เราก็รู้สึกดี ก็ต้องขอบคุณเขานะครับ โดยเฉพาะพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย จำได้นะเล่นห้องหุ่น เราก็บอกว่านานแล้วนะครับ เราก็คุยกับเขาดีๆรู้สึกดีเสมอครับ แสดงว่าเราต้องเป็นที่ประทับใจเขาและนี่คือกระแสที่ตอบกลับมา คือตอนนั้นเราไม่ได้ดูเราก็ไม่รู้ว่าเราเล่นดีหรือเปล่า บทบาททางการแสดงของผมส่วนใหญ่จะยืนหยัดด้วยบทร้าย แรกๆ เล่นเป็นคนดีนะ ห้องหุ่นนี่เป็นคนดี ตี๋ใหญ่ก็เล่นเป็นตำรวจ แต่หลังจากนั้นอีกไม่นานบทร้ายก็เข้ามาเพียบโดนยิงกระหน่ำ เลือดเอฟเฟกต์โดนตลอดเลย เราก็เลยเหนื่อยพอสมควร เพราะว่าดาวร้ายของทุกเรื่องก็จะต้องมีจุดจบที่ไม่ค่อยจะดีนัก
คุณพ่อของลูกๆ ทั้ง 4 คน
ผมมีลูก 4 คน คล้อย, เคียว, คิ้ว และ คราม อย่างน้องคิ้วนี่เขาก็มีงานในวงการมากมายครับ ล่าสุดก็เล่นหนังเรื่อง “สยามสแควร์” เขาเข้าวงการของเขาเองไปแคสงานเล่นโฆษณาเอง ทุกวันนี้เราก็เลยสบายไม่ได้ให้ตังค์ลูกใช้ (ยิ้ม) ลูกกลับเป็นฝ่ายให้พ่อด้วยซ้ำ ก็โอเคนะ เราก็บอกเขาไปว่ามันก็เป็นงาน ก็ทำในส่วนของเขาให้เต็มที่ คือเขาเรียนที่ มศว ก็เรียนมาสายนี้โดยตรง เราก็เห็นด้วย เรามองว่ามันเป็นงานได้แล้วนะสมัยก่อนเราอาจจะมองว่าเป็นแค่พาร์ทไทม์ ทำได้ช่วงนึงจะเลี้ยงชีพทำเป็นอาชีพได้ไหม มันอาจจะตอบยากแต่ว่าทุกวันนี้มันโอเคเลยตัวผมเองแยกออกมาจากภรรยา และมาเปิดบริษัทเอง รับทำอีเวนท์ แต่ว่าช่วงนี้ยังเบรกอยู่ด้วยสถานการณ์และด้วยเศรษฐกิจตอนนี้ครับ

เป้าหมายที่วางไว้
อยากทำธุรกิจนี้แหละ ทำโปรดักชั่นเฮาส์ คือเราชอบที่จะสร้างสรรค์ ส่วนเรื่องที่ว่าการเป็นนักแสดงเราก็อย่าเพิ่งไปตามล่ามันนักเลย ตอนนี้นักแสดงก็เยอะเหลือเกิน แต่ก็ไม่เป็นไร คือเราทำงานเบื้องหลังมาเยอะเป็นผู้กำกับรายการมาหลายรายการ กำกับการผลิตหลายรูปแบบ แต่การกำกับละครยังไม่เคยทำ คือละครรายละเอียดมันเยอะ คงยังไม่ได้ทำในตอนนี้ครับคือ 30 ปีที่ผ่านมา เราอาจจะเพลินกับชีวิตไปหน่อย ลืมที่จะปักหมุดว่าจะเอาอะไรเป็นกิจจะให้ตัวเอง เราไสนุกกับมันหมดทุกอย่าง เพราะว่ามันสนุกไปหมด แต่มันกลายเป็นว่าจับฉ่าย เราก็เลยไม่มีเป้าหมาย ถ้าเราทำโปรดักชั่นเฮาส์เป็นเรื่องเป็นราวไปเลยตั้งแต่สมัยก่อน หรือเป็นผู้จัดละครทำรายการโทรทัศน์ไปเลยก็คงจะดี พอไปทำนั่นนิดนี่หน่อยแล้วสุดท้ายพอทุกอย่างมันหยุด ทีนี้ก็ไม่ได้แล้ว ตอนนี้เลยกำลังจะมองโปรดักชั่นเฮาส์ เพราะว่าผมชอบ งานมันได้ครีเอทีพคิดเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ งานละครนี่ก็สนุกนะทุกครั้งที่ได้ทำก็มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ผลงานที่ภาคภูมิใจ
ตอนที่ทำกับพี่แอ๊ด คาราบาว เราถือว่าได้ทำฟอร์มยักษ์นะทำมิวสิกฟิล์ม ตอนที่พี่แอ๊ดเขาทวงคืนทับหลังนารายณ์ นั่นเป็นโปรเจกต์ที่พี่แอ๊ดมอบหมายให้เราทำมิวสิกวิดีโอ แล้วเราก็เสนอไปเพราะว่างานมันใหญ่ ก็เลยขอโปรดักชั่นเป็นฟิล์ม ได้พี่เก้งมาเป็นตากล้องให้ แล้วเราก็เป็นคนคิดงานนั้น ประทับใจมากครับ เราไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้ทำ แต่ก็มีอีกเยอะสำหรับงานที่เราภาคภูมิใจ การเปิดตัวต่างๆ ก็ประทับใจหมด เพราะเป็นการเปิดตัวที่แรง เราก็ต้องขอบคุณลูกค้าด้วยที่ให้โอกาสเราทำตามความฝันเรา เคยไปจัดงานเปิดตัวยามาฮ่าเอ็กซ์วันของ ซิลลี่ฟูลส์ ที่เซ็นทรัลเวิลด์แล้วเราก็เอาดาวร้ายเพื่อนๆเราไปโรยตัวเปิดตัวจากยอดตึก ซึ่งเป็นอะไรที่สมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว มันไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำขนาดนั้น และอีกงานก็คืองานคอนเสิร์ตอีสานเขียวของพี่แอ๊ด ที่สนามกีฬากองทัพบก พอเสร็จงานนี่คือผมดีใจตัวลอยเลยนะ เพราะว่าคนแน่นสนามกีฬา ศิลปินมาเยอะมาก คือได้ร่วมทำโปรเจกต์ใหญ่ๆ กับพี่แอ๊ดหลายครั้ง และรวมๆแล้วผมก็ทำมาเป็นพันๆงาน ส่วนงานละครที่ประทับใจ ก็ประทับใจทุกเรื่อง เพราะเหมือนว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์สำคัญๆ “ห้องหุ่น” นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย คือที่สุดแล้ว “ฉก. เสือดำ” ของ “พี่ต๊ะ” (นิรัตติศัย กัลย์จาฤก)ก็ประทับใจ หนังเรื่อง “เกิดอีกทีต้องมีเธอ” ก็ประทับใจแต่เสียดายที่เราไม่ได้พูดเท่านั้นเอง (ยิ้ม) คือเขาไม่ให้พูดเพราะว่าเราเล่นเป็นตัวที่มาดูดวิญญาณนางเอกส่วนงานมิวสิกวีดีโอต่างๆ ก็ประทับใจเช่นกัน

ความในใจถึงแฟนๆ
เราก็ยังอยู่กันต่อไปนะครับ เดี๋ยวก็จะมีงานไปเรื่อยๆ และยังอยากจะกลับมาทำงานการผลิตอยู่ ส่วนเรื่องการแสดงพอเรากลับเข้ามาตอนนี้ก็เริ่มๆ มีแล้วนะครับ พอหน้าเราเริ่มโผล่ไปโผล่มาก็จะมีคนติดต่อเข้ามาแล้ว เจอกันก็ทักทายได้ครับ ขอบคุณที่ยังจดจำกันได้ ฝากติดตามละครเรื่อง “นางบาป” ทางช่อง 3 ด้วย กำลังถ่ายทำอยู่ มาเล่นเป็นพ่อของนางเอกในเรื่อง แต่เรื่องที่ว่าจะไปเดินเป็นนักแสดงหลักค่อยว่ากันอีกทีครับ
และนี่คือ “ขวด-วรานันท์ ยูสานนท์” เขาไม่ใช่แค่นักแสดงมากฝีมือ แต่ยังเป็น คนเบื้องหลังที่หาตัวจับยากของ วงการบันเทิงไทย


กุหลาบสีเงิน