Star Retro : ‘หนึ่ง-มาฬิศร์’ อดีตที่เคยพลาด คือประสบการณ์ที่ทำให้แกร่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/279682

Star Retro : ‘หนึ่ง-มาฬิศร์’ อดีตที่เคยพลาด คือประสบการณ์ที่ทำให้แกร่ง

Star Retro : ‘หนึ่ง-มาฬิศร์’ อดีตที่เคยพลาด คือประสบการณ์ที่ทำให้แกร่ง

วันอาทิตย์ ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เห็นหน้าค่าตาแล้ว เชื่อว่าแฟนละครพื้นบ้านไทยไม่มีใครไม่รู้จัก “หนึ่ง-มาฬิศร์ เชยโสภณ” พระเอกละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่ยังคงเป็นที่จดจำของคนส่วนใหญ่ ครั้งหนึ่งเส้นทางชีวิตของเขาเคยเดินข้ามถนนผิดเลนไปวันนี้เขาจึงตั้งใจกลับมาสู้ใหม่ เพื่อสานต่องานเบื้องหลังที่รัก

บทบาทเบื้องหน้า ที่ลดลง

เป็นไปตามวัฏจักรครับ งานเบื้องหน้าน้อยลง เพราะว่าด้วยปัจจัยหลายอย่าง คือเราก็ทำงานประจำอยู่เบื้องหลังด้วย เวลาที่จะมาเล่นละครถ่ายละครจึงต้องดูว่าชนกับงานกองหรือเปล่า ถ้าจะไปรับเล่นละครก็ต้องบอกเจ้านายนิดนึง (หัวเราะ) ว่าช่วงนี้ขอไปเล่นบ้างนะ เจ้านายก็คือคุณวุธ (อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร) ซึ่งเป็นเพื่อนในวงการนี่แหละครับ แต่ว่าเราเข้ามาก่อนเขาแป๊บนึง
แล้วก็มาเจอกันในเรื่อง “มงกุฎดอกส้ม” เล่นด้วยกันแล้วก็กลายเป็นว่าสนิทสนมเป็นเพื่อนกัน โตมาด้วยกันไปเลย (หัวเราะ) ตอนแรกต่างคนก็ต่างทำงาน ต่างใช้ชีวิตของตัวเองกันไป เขาก็ไปมีครอบครัว จนกระทั่งเราไปทำอาชีพอื่น ไปเป็น บก.หนังสือ อยู่มาวันนึงก็เจอเขาในเฟซบุ๊ค เลยได้คุยกันว่าเป็นยังไงบ้าง ถ้ามีงานอะไรก็บอกนะ เขาก็คิดว่าเราทำงานให้กับอีกบริษัทนึงอยู่ เราก็บอกว่าตอนนี้ว่าง เป็นฟรีแลนซ์ หนังสือที่เราเป็น บก.ก็ปิดไปแล้ว เขาเข้าใจผิดมาโดยตลอด แล้วเขาก็บอกว่ามีละครอยู่เรื่องนึงที่เขาเปิดกล้องถ่ายทำไปแล้วล่ะ คือเรื่อง “รักคุณเท่าช้าง” พอดีมันมีบทแทรกขึ้นมา เป็นพ่อของเด็กคนนึงในเรื่อง เขาก็ถามว่ารับไหม คือเล่นเป็นพ่อนะ เราก็คือปูนนี้แล้ว (หัวเราะ) จะอะไรก็โอเค แล้วพอเราไปถ่ายตรงนั้น ก็บังเอิญว่ามีน้องคนนึงในทีมเขาติดงาน และลาออกไป ทางวุธก็เลยถามว่าเราสนใจทำเบื้องหลังไหม ผมก็โอเคสนใจ

ตำแหน่งแรกในฐานะคนเบื้องหลัง

ทั่วไปเลยครับ แล้วแต่เขาจะให้เราช่วยทำอะไร หลักๆ คือเขาอยากให้เราอยู่กับนักแสดง เพราะว่า
นักแสดงส่วนใหญ่เป็นนักแสดงใหม่ ให้เราช่วยโค้ชให้กับน้องๆ ด้วย เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ เพราะว่าเรารุ่นกลาง ณ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเราทำได้นะกับงานเบื้องหลัง แต่ตอนแรกก็รู้สึกนิดนึงว่าเราเป็นนักแสดง มากองถ่ายเสร็จก็กลับ แต่นี่คือเรามาเช้าและเลิกพร้อมกอง ก็คิดว่าตัวเองจะไหวหรือเปล่า แต่ก็ไหวครับก็ทำได้ สนุกไปกับมัน และมีอย่างอื่นให้ทำ เช่นได้มีโอกาสเขียนบท ซึ่งเมื่อก่อนเราก็เคยเขียนการ์ตูนให้กับจ๊ะทิงจา ก็เลยเหมือนได้มาปัดฝุ่น ดังนั้นพอมีคนถามว่าทำอะไรที่บริษัทดูมันดี ก็จะบอกว่าแล้วแต่เขาจะให้ทำอะไร (ยิ้ม) เราเป็นตัวซัพพอร์ทเขาหมดเลย

การทำงานกับเพื่อน

เราไม่ได้คิดว่าเขาเป็นเพื่อน แต่มองเขาเป็นเจ้านาย แม้ว่าเราจะสนิทสนมกัน แต่เราก็ต้องให้เกียรติเขา ไม่ใช่ว่าเดินเข้าไปเย้..เฮฮากัน มันก็ไม่ใช่ คือมันก็หมวกคนละใบเท่านั้นเอง แต่ความเป็นเพื่อนมันก็เหมือนเดิมเพียงแต่ว่าอยู่ในกองอยู่ในระหว่างการทำงานในหน้าที่ตำแหน่งที่เป็นลูกน้องเราก็ต้องให้เกียรติเขา ในฐานะที่เขาเป็นเจ้านายเรา เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ “ป้าแดง” (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) อยู่ช่อง 7 เขาเป็นป้าก็ใช่ แต่ว่าเราก็ต้องให้เกียรติในฐานะที่เขาเป็นนายจ้างเราเวลาทำงาน แต่ว่าเวลาเจอกันทั่วไปตามงานญาติพี่น้อง เขาก็เป็นอีกสถานะหนึ่ง มันต้องแยกให้ได้ ก็ไม่ได้ลำบากใจ ตั้งแต่ที่เข้ามาทำที่ดูมันดีก็ช่วยงานเบื้องหลังทุกเรื่อง ที่ทำเต็มตัวก็คือเรื่อง “เพลิงตะวัน” ต่อมาก็ “นางฟ้าเปื้อนฝุ่น” แล้วก็“เล่ห์รักยาใจ” งานแสดงก็มีที่ติดต่อเข้ามาบ้าง แต่ก็รับแบบยาวๆ ไม่ได้นะครับ จะต้องเป็นแบบสั้นๆ ยังวิ่งไปวิ่งมาลาดหลุมแก้วบ้าง ถ้าไม่ได้ติดกองไปต่างจังหวัด ด้วยความที่หน้าที่เราในกองถ่าย ต้องมาอยู่ตลอดถ้าวันไหนเราไม่ได้มีงาน เราก็ไปได้ แต่ถ้าวันไหนมีงานแล้วเราจะขอลาไปรับจ๊อบบ้าง วุธเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร คือเขาก็เข้าใจว่านักแสดงรายได้มันค่อนข้างเป็นยังไงส่วนรายได้เบื้องหลังก็เป็นอีกแบบนึง คือเป็นเงินเดือนที่เราได้รับทุกเดือน ถึงจะมีงานไม่มีงานเราก็ได้ ส่วนรายได้นักแสดงเราก็ไปเสริมกัน

งานเบื้องหลังในฝัน

จริงๆ มีคนทาบทามมานานแล้วเหมือนกันครับว่าให้ไปกำกับฯ แต่ถ้าถามใจจริงๆ เราไม่ได้อยากเป็นผู้กำกับ แต่ถ้าเกิดต้องทำ สมมุติอนาคตวุธเขาเปิดละคร 3 เรื่อง แล้วอยากจะให้เราช่วย ตรงนั้นก็โอเค แต่ถ้าถามว่าเป็นความฝันที่แบบวันนึงฉันจะขึ้นไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้น ไปเป็นผู้กำกับ คือผมเฉยๆ นะ เพราะว่าสมัยเรียนเราก็เรียนละครมา ก็ได้วิชาตรงนั้นไปแล้ว ถ้าให้เลือกจริงๆ อยากเขียนบทมากกว่า เพราะว่าเรารู้สึกถนัดกับการอยู่กับตัวเองมานาน ถ้าเป็นแค่แอ๊กติ้งโค้ชก็โอเค ก็คือทำงานที่จะฝึกสอนนักแสดง เพื่อที่ไปให้ผู้กำกับใช้งานต่อ แต่การเป็นผู้กำกับมันคือภาระอันยิ่งใหญ่ ผมเป็นคนที่มีความถนัดทางขีดเขียนเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าคนรู้จักจะรู้ น่าจะเป็นทางที่เราถนัดจะไปได้ ส่วนใหญ่ที่เขียนมาเป็นแนวคอเมดี้แต่ว่าผมเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดราม่า (หัวเราะ)

ก้าวแรกทางการแสดง

ทีแรกก็ไม่ได้อยากเข้ามาในวงการนะที่เรียนที่ธรรมศาสตร์มีละครเวทีก็เรียนไป เพราะว่าอยากจะสนุกแต่ว่าพอเรียนจะจบก็มีโอกาสได้เล่นละครทีวี เราก็คิดว่าเขาคงจะให้เราเล่นแค่ปีสองปีแหละ เหมือนมาหาประสบการณ์ ละครเรื่องแรกที่เล่นคือ “คุณหญิงนอกทำเนียบ” เป็นเรื่องแรกที่ออนแอร์ แต่เรื่องแรกที่ติดต่อมาคือ “ลอดลายมังกร” ซึ่งเป็นละครฟอร์มใหญ่และดาราเยอะ ก็เลยจะใช้เวลาในการถ่ายทำนานหน่อย

ถูกจับตามองในฐานะหลานคุณแดง

คนก็มองอย่างนั้น ว่าเราเป็นหลาน แต่ว่าเราก็เฉยๆ คือนอกจากเขาเป็นป้าแล้ว เขาก็ยังเป็นเจ้านายเราเขาให้งานเรา เราก็ต้องทำงานตามนั้น วันแรกที่เดินเข้าไปในกองถ่าย คนก็ซุบซิบพูดคุยกันเหมือนกันนะ แต่เราก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไร เราก็กินข้าวกองปกติ คือเราก็ไม่ได้อะไรนะ แต่หมายถึงว่าทีมงานเขาก็คงอยากจะรู้ว่าคนนี้เป็นใคร เป็นมายังไง มันก็ยิ่งทำให้เราทำตัวธรรมดาที่สุด เพราะว่ายิ่งเขาด่า เขาคงไม่ได้ด่าเราคนเดียวเขาจะพ่วงไปถึงป้าด้วย เราก็ต้องทำตัวให้ง่ายที่สุดกินอะไรก็กิน อย่างที่บอกว่าไม่ได้คิดว่าจะเข้ามาจริงจังถือเป็นประสบการณ์ แต่ที่ไหนได้อยู่มา 25 ปีแล้ว ครึ่งชีวิตเราไปแล้ว ก็ตกใจเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ตอนแรกเข้ามาขำๆ ด้วยนะ กะว่าสักปีสองปีเล่นขำๆ แป๊บเดียวก็ 25 ปี มันก็จะมีช่วงพีคมาก ปีนั้นไม่ได้พักเลย บางปีก็ว่างไปเลย ละครมีแค่เรื่องเดียว มีขึ้นและลงสลับกันไป

เริ่มมุ่งมั่นกับการแสดง

ผ่านมาสัก 2 ปี ตอนนั้นถ่ายเรื่อง “สะพานข้ามดาว” กับ “พี่ดู๋-สัญญา” และ “หน่อย-บุษกร” เราก็ได้คุยกับหน่อยซึ่งเขาเป็นรุ่นน้องเราที่ธรรมศาสตร์ ก็คุยกันว่าเราเรียนจบมา 2 ปีแล้วนะ ยังไม่ได้ไปสมัครงานอะไรเลย หรือว่าเตรียมตัวไปเรียนไหนเลย ก็เลยมานั่งคิดว่าอ้าว..นี่มันอาชีพเรานี่หว่า ก็เริ่มรู้สึกว่าเราคงต้องซีเรียสกับมันมากกว่านี้แล้วล่ะ ตอนแรกที่เล่นเราก็จะชิลๆประเดี๋ยวประด๋าว เก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วก็คงไปเรียนต่อ หรือว่าไปสมัครงานเอเจนซี่อะไรก็ว่าไป

จากละครหลังข่าวสู่ละครพื้นบ้าน

ละครกลางคืนไม่เคยเล่นเป็นพระเอกครับ แต่ว่าจะเล่นละครจักรๆ วงศ์ๆ หรือว่าละครพื้นบ้าน คือหลังจากที่เล่นละครปกติมาสัก 3 ปี ด้วยความที่เราก็เล่นดาราวิดีโอลาดหลุมแก้ว และมีเพื่อนที่เรียนด้วยกัน เขาไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่กองหนังเจ้า เราก็ได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงถ่าย ไปยืนดูเขาถ่าย เลยทำให้นึกถึงตอนเด็กๆที่เราโตมากับละครที่เหาะเหินเดินอากาศ เขาก็แซวว่าอยากเล่นเหรอ เราก็บอกว่าอยากเล่นสิ คือพูดจริงๆ เลยเพราะว่าเราก็ถือว่ามันเป็นการแสดงเหมือนที่เราดูหนังยอดมนุษย์ แล้วเราก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง ก็แซวกันไปมาอยู่นานเหมือนกัน จนเรื่องถึงหูผู้ใหญ่ แต่เขาก็มองว่าเหมือนเป็นการย้อนศรหรือเปล่า เพราะว่าส่วนมากเขาจะเล่นหนังเจ้า แล้วค่อยได้เล่นละครกลางคืน เราเล่นกลางคืนดีๆอยู่แล้ว ทำไมต้องอยากมาเล่นแบบนี้แล้วพอดีว่า “คุณลุงหรั่ง-ไพรัช” วางตัวไว้ให้ลงเรื่อง “มโหสถชาดก” เราก็ตัดสินใจรับเล่นเลย คือเป็นเรื่องที่ดีมากนะ เลยเป็นเรื่องแรกของละครจักรวงศ์ที่เล่นแล้วก็ต่อด้วย “พระเวสสันดร” ซึ่งตอนนั้นคนดูก็งงเหมือนกันว่าเราก็เล่นได้นะ คือก่อนหน้านี้ภรรยาลุงหรั่งเคยทักว่าเราหน้าโบราณ ถ้าแต่งเครื่องแล้วใส่อะไรที่เป็นพีเรียดน่าจะดูดี พอมาแต่งตัวเป็นหนังเจ้าก็ยิ่งเหมาะ ด้วยความที่เราหน้าโบราณด้วยมั้ง ก็เลยเข้ากับละครจักรวงศ์ (หัวเราะ) ก็ได้เล่นเป็นพระเอกอยู่ประมาณ 7-8 เรื่อง จนทุกคนมีความรู้สึกว่าเปิดมาทำไมเจอแต่หน้ามาฬิศร์ตลอดเลย เหมือนได้ช่วยดันน้องๆ นางเอกละครเจ้าในตอนนั้นด้วย แล้วพอขยับบทบาทขึ้น ก็ยังมีได้เล่นเรื่อยๆอยู่

ช่วงชีวิตที่เจอเรื่องหนักอึ้ง

ไม่รู้นะ อนาคตอาจจะมียิ่งกว่านี้ก็ได้นะครับ แต่ตอนนั้นผมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นสำหรับผม ผมรู้สึกว่าถ้ามันไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นในชีวิต เราในวันนี้อาจจะแย่ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้ เพราะฉะนั้นเกิดขึ้นกับเราก็ทำให้เราได้เรียนรู้ จากชีวิตที่ทุกอย่างอยู่สุขสบายมาโดยตลอด แต่แล้ววันนึงพอลำบาก มันก็รับไม่ได้ ก็เลยเลือกทางเดินผิด (พลาดพลั้งไปกับยาเสพติด) เพราะฉะนั้นเราก็ได้เรียนรู้ไปกับมัน เป็นประสบการณ์ที่มีค่าครั้งนึงในชีวิต บางคนอาจจะมองว่ามันคือ แผลเป็น ซึ่งทำให้หน้าฉันไม่สวย ดูสิหน้าฉันต้องมีรอยบาดแผล แต่ผมมองมันเป็นสิ่งที่เตือนสติเราได้ตลอดเวลา ว่าอย่าพลาดอีกความเสียใจเดียวถ้าพ่อแม่อยู่ ณ ตอนนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่เราทำให้พ่อแม่เสียใจ คืออาจจะเป็นที่เราทำให้คนที่เรารักเสียใจ แต่ว่าไม่ได้รู้สึกถึงขั้นว่าชื่อเสียงที่มีมาทั้งหลายมันเสียไป ผมไม่เคยคิดถึงตรงนั้น และผมก็ไม่ได้คิดว่าเราเป็นดาราดังหรือว่าจะมีคนรู้จัก ไม่เคยคิดว่าทุกคนต้องรู้จักเรา ก็เลยไม่ได้รู้สึกสูญเสียเรื่องของชื่อเสียง แต่อาจจะทำให้คนรอบข้างเสียใจ คนที่รักเรา คนที่เป็นเจ้านาย คนที่ให้โอกาสเราต้องผิดหวังก็รู้สึกตรงนั้นมากกว่า

กำลังใจที่สำคัญ

ถ้าเอาความรู้สึกตัวเองคือไม่นานเลย สติกลับมาเร็วมาก คือพร้อมเผชิญทุกอย่างที่เกิดขึ้น พอสติมาปุ๊บ มันเจออะไร เจอใครพูดอะไร เราก็จะเฉยๆ ออกไปซื้อข้าว ทำตัวปกติที่สุด กำลังใจก็ได้จากคนรอบตัวนี่แหละครับ คนรอบตัวที่ดีนะ เพราะว่าคนรอบตัวที่ไม่ดีก็มีเหมือนกัน ที่ต่อหน้าเราอย่าง ลับหลังอีกอย่างส่วนคนรอบตัวที่ดีคือญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่รักเรา ทุกคนยื่นมือเข้ามาช่วย แม้ว่าเขาจะอยู่ไกล หายไปตั้งนานแล้ว ก็ยังติดต่อกลับมา หรือว่าไปนั่งกินข้าวก็มีน้องเด็กเสิร์ฟเขียนข้อความใส่กระดาษทิชชู่เอามาให้ ว่าหนูเป็นกำลังใจให้พี่นะคะ คุณย่าคุณยายเดินเจอกันก็มีเข้ามาให้กำลังใจกันมาหลายแบบ ทั้งที่เขาไม่ได้รู้จักเราเป็นการส่วนตัวนะ แค่รู้จักเราผ่านทีวี มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรากลับมาได้เร็วขึ้นและมันก็เปิดโลกอีกโลกนึงให้เราด้วย คือมีคนติดต่อให้เขียนหนังสือ หลังจากนั้นก็ได้เป็นบก. ได้ทำในสิ่งที่เรารักด้วย คือความฝันตอนเด็กๆ คืออยากเป็น บก.หนังสือ เพราะเราเป็นคนชอบอ่าน มันก็เป็นสิ่งที่เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ สนุก ได้เจอตากล้อง เจอทีมแฟชั่น เจอน้องนักแสดง คือที่เราทำเป็นหนังสือแจกตามมหาวิทยาลัย คนที่จะขึ้นปกก็จะเป็นนักแสดงที่ยังเรียนอยู่ แล้วเสื้อผ้าก็ออกแบบโดยเด็กที่เรียนแฟชั่นที่ไปได้รางวัลมา ดังนั้นมันก็จะเป็นแนวน้ำดีหมด

ไม่ยึดติดกับบทบาท

ช่วงนั้นก็มีแบน 2 ปีหลังจากนั้นก็มีละครเข้ามาเป็นหนังเจ้านี่แหละครับ ก่อนหน้านั้นบทพ่อเราก็เล่นอยู่แล้ว คือเรื่องที่ 2 “พระเวสสันดร” ก็เป็นพ่อแล้วนะ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้ติดว่าจะต้องเป็นตัวอะไร พอบทพ่อเข้ามา เราก็เฉยๆ เป็นไปตามวัย เราเห็นวัฏจักรนี้อยู่แล้วผู้หญิงตัวที่เล่นกับเราเล่นเป็นแม่มาก่อนหน้าเราตั้งหลายปีเรามีความรู้สึกว่าเราเรียนละครมา เราเล่นเป็นตัวอะไรก็ได้ หน้าที่ของนักแสดงคือเราต้องทำตัวเหมือนน้ำที่เขาจะเอาไปใส่ในบรรจุภัณฑ์ไหนก็ต้องเป็นไปตามนั้น เราก็เลยไม่ได้ยึดติด มันก็ต้องเลือกว่าได้ทำงานในสิ่งที่เรารัก คือยังได้แสดงอยู่ กับการที่เลือกจะไม่แสดงให้คนจำภาพเป็นพระเอกไปตลอด มันก็เป็นชอยส์สำหรับชีวิต ไม่มีอะไรถูกผิด

สิ่งที่ได้รับจากวงการนี้

ผ่านมา 25 ปี ถือว่าให้ชีวิตได้เลยนะครับ คือเราก็อยู่ได้ด้วยการดำรงชีวิตจากอาชีพนี้เป็นหลักให้มิตรภาพเพื่อนฝูง ถ้าไม่มีเพื่อนฝูง ป่านนี้เราก็คงจะนั่งอยู่บ้านตบยุงรอว่าจะมีใครเรียกไหม อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนที่ให้โอกาสเรา มาทำงานกองถ่าย ประสบการณ์อะไรที่เรามีมาได้ใช้ประโยชน์กับคนอื่นๆ ทุกวันนี้ก็ไปเรียนแอ๊กติ้งเพิ่ม เพื่อใช้ในการเขียนบทด้วย บางคนจะมองว่าทำไมเราต้องไปเรียน เราก็ใช้จากประสบการณ์ที่เรามีมาสิ ก็ใช่ ประสบการณ์มันส่วนหนึ่ง แต่ว่าถ้าเกิดเรามีหลักการมีวิธีการที่มันมากกว่าประสบการณ์ มันก็น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

กับวันนี้ที่เป็นไป

ทุกวันนี้มีความสุขตามอัตภาพครับ คือเราก็ผ่านยุคพีคของเรามาแล้ว เห็นแล้วว่าเวลาขึ้นสูงๆ เป็นยังไง เวลาลงต่ำเป็นยังไง ดังนั้นอยู่ตรงกลางสบายสุด ชีวิตสูงสุดเราก็ผ่านมาแล้วมีชื่อเสียง ทุกวันนี้เล่นละครอย่างน้อยก็คือได้ทำในสิ่งที่เรารัก เพราะฉะนั้นไม่คาดหวังชื่อเสียงว่าจะต้องเล่นแล้วคนพูดถึงกันทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้ามีก็ดี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เราสนุกสนานกับการได้เป็นตัวละครตัวนั้น เราก็ทำ วันว่างถ้าไม่ได้ทำงาน ก็จะออกกำลังกาย ดูหนังอ่านหนังสือ อยู่คนเดียวได้ เป็นคนอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะว่ากินข้าวก็อ่านหนังสือไปด้วย จนแม่บ่นว่ากินให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปอ่านเป็นคนที่ติดหนังสือมากกว่าจะกินข้าวหมดชาม คือนาน ทุกวันนี้ยิ่งมีมือถือไอแพดก็เปิดไปสิ อยู่คนดียวชินแล้วนะ ไม่รู้ว่าอันไหนมาก่อนกันระหว่างโลกส่วนตัวสูง กับชินกับการอยู่คนเดียว เพราะจะทำอะไรก็ตัดสินใจได้เลยไม่ต้องรอใคร วันนึงอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดก็เก็บของขึ้นรถขับไปได้เลย แล้วพอทำอย่างนี้จนชิน มันก็จะมีคนมาอยู่ด้วยยากแล้ว คือทั้งเขาและเราจะรู้สึกว่าทำอะไรมันจะต้องคิดมากขึ้น ตอนเด็กเคยคิดอยากจะมีลูก เพราะเป็นคนรักเด็ก แต่ว่าพอถึงตอนนี้ ยิ่งเห็นสังคมสมัยนี้แล้ว รู้สึกดีใจนะที่เราไม่มีลูกเพื่อนบางคนเพิ่งจะมีลูกแล้วกว่าลูกจะโตอีกละ จะอยู่ดูลูกไปได้อีกกี่ปี มันก็ห่วงเขานะครับ

ท้ายนี้ผมต้องขอบคุณนะครับสำหรับคนที่ติดตามกันมา แล้วเดี๋ยวนี้โลกเราเทคโนโลยีทันสมัยในเฟซบุ๊คในไอจีก็ตามมาพอสมควร ได้พูดคุยกันบ้าง ขอบคุณที่ยังจำกันได้ คือเราอาจจะเป็นช่วงที่เด็กๆ ยุคที่ดูละครเราโตกันแล้ว ก็จะเจอบ่อยมาก มีเข้ามาทักทายว่าเราเป็นไอดอลเขานะ ก็รู้สึกดีใจ เพราะตอนเด็กๆ เราก็เคยมีคนที่เป็นไอดอล เพราะมีพวกเขาเราถึงมีวันนี้ ทำให้เรารู้สึกดีใจ มีคนเข้ามาทักมาขอถ่ายรูปเราก็ยินดี (ยิ้ม)

กุหลาบสีเงิน

Leave a comment