ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/277705

ส่องเกษตร : ทำไม…หยุดยึดทรัพย์‘โกงข้าว’
สัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนถึงเรื่อง“มรดกบาป”โครงการจำนำข้าวใกล้สิ้นสุดแล้ว โดยว่าถึงการระบายข้าว“สต๊อกรัฐ”กว่า 18 ล้านตันที่กำลังจะหมดในไม่กี่เดือนนี้ หมดสิ้นภาระแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ข้าวไทยราคาตกต่ำมาหลายปีเสียที ทั้งยังวาดหวังผลลัพธ์ที่สาสมสำหรับคดีที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดนข้อหาทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ กรณีปล่อยปละ ไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว จนรัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาทและคดีทุจริตระบายข้าว “จีทูจีเก๊” ที่ 2 อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์“บุญทรง เตริยาภิรมย์ -ภูมิ สาระผล”กับพวก 28 รายตกเป็นจำเลย ทั้ง 2 คดีต่างก็จะสิ้นสุดการไต่สวนพยานภายในก.ค.นี้ คาดว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาราวก.ย.หรือภายในปีนี้
ตามความเข้าใจเดิมเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาแล้ว ก็เป็นอันสิ้นสุดภายใน “ศาลเดียว”เหมือนเช่นคดีอื่นๆที่ผ่านมา แต่เพราะรัฐธรรมนูญฯพ.ศ.2560 ฉบับล่าสุดที่มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีมาตรา 195 ที่ปรับเปลี่ยนให้“จำเลย”สามารถอุทธรณ์คำตัดสินศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ภายใน 30 วัน ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และการพิจารณาอุทธรณ์ให้ดำเนินการโดยองค์คณะของศาลฎีกาที่ประกอบด้วยผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งดํารงตําแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดํารงตําแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งไม่เคยพิจารณาคดีนั้นมาก่อน
ก็หมายความว่า ทั้งคดีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์และคดีนายบุญทรงกับพวก ยังสามารถ“ดิ้นรน”เฮือกสุดท้าย ในการยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งเท่ากับยื้อเวลาออกไปอีก
แต่กระนั่นก็ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่คาดว่าจะออกมาภายในปีนี้ ก็ยังคงเป็นตัว“ชี้ชะตา”ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งทั้งต่อ“ชีวิต”ของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์กับพวกเอง และต่อสถานการณ์ความเป็นไปของการเมืองไทย
ประจวบกับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฏการณ์ทะแม่งๆขึ้นมา เมื่อรองนายกฯวิษณุ เครืองาม เนติบริกร ผู้ดูแลด้านกฎหมายให้กับรัฐบาล คสช.ออกมาชี้แจงความคืบหน้าในการยึดทรัพย์อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ 3.5 หมื่นล้านเพื่อชดใช้ค่าเสียหายโครงการจำนำข้าว โดยระบุว่า แม้กรมบังคับคดีสามารถเดินหน้ายึดทรัพย์ตามคำสั่งทางปกครองที่รัฐบาลประกาศไป แต่ยังไม่รู้ว่าจะยึดอะไรที่ไหน เพราะไม่เจอว่า อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์มีอะไรบ้าง “จึงได้หยุดไว้ก่อน”
ซึ่งไม่เพียงการยึดทรัพย์“ยิ่งลักษณ์”เท่านั้น การยึดทรัพย์คดีทุจริต“จีทูจี”ก็หยุดไว้ก่อนเช่นกัน
จึงก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ด่าทอกันอึงคะนึงไปทั้งเมือง และเห็นว่า ที่รองนายกฯวิษณุบอก ต้องหยุดการยึดทรัพย์ไว้ก่อนเพราะไม่รู้จะไปหาทรัพย์สินของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่ไหนนั้น เป็นการอ้างที่ “ไม่เข้าท่า” หรือจะเรียกว่าอ้าง “ชุ่ยๆ” ก็ได้ เพราะทั้งช่วงรับตำแหน่ง จนถึงหลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ“ยิ่งลักษณ์”นั้น ต้องมีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไว้ที่ป.ป.ช.ตลอด การสืบหาทรัพย์สิน จึงไม่ใช่เรื่องยากเลย
การออกมาพูดเช่นนี้ของรองนายกฯวิษณุเลยกลายเป็นเรื่องที่ถูก“ตีความ”ว่า มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล หรือมีเจตนาอะไรกันแน่ ทั้งๆที่การใช้อำนาจปกครองในการเรียกค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้านจากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ก็เป็นวิธีการที่รองนายกฯวิษณุเป็นผู้เสนอเอง แถมก่อนหน้านี้ที่ถูก“ยิ่งลักษณ์”กับพลพรรคระบอบทักษิณพากันรุมโจมตี คัดค้านการเรียกค่าเสียหายดังกล่าว รองนายกฯวิษณุก็เคยขึงขังตอบโต้ทำนองว่า เมื่อออกคำสั่งทางปกครองไปแล้ว เพียงแจ้งเจ้าตัวทราบ ก็สามารถยึดทรัพย์ได้ทันที
แล้วไฉนตอนนี้มามีท่าทีเหมือนเป็นการ“กลับลำ”ซะอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีการมองกันในแง่ดีอยู่ว่า รองนายกฯวิษณุอาจต้องการให้เกิดความชัวร์ในการยึดทรัพย์ จึงอยากรอผลพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกมาเสียก่อน เพราะถ้า“คดีพลิก”เกิดศาลฯตัดสินว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ได้ทำผิดในการปล่อยปละละเลย ทำให้โครงการจำนำข้าวเสียหายกว่า 5 แสนล้านละก็ ที่ไปยึดทรัพย์เอามาชดใช้ความเสียหายไว้ก่อน ก็มีสิทธิจะแพ้คดีในศาลปกครองที่“ยิ่งลักษณ์”ได้ไปฟ้องขอให้ยกเลิกคำสั่งเรียกค่าเสียหายนี้ก็ได้ จะทำให้เสียรังวัดไปอีก
ก็หวังว่า ท่าทีรองนายกฯวิษณุคงไม่ได้มีอะไรไม่ชอบมาพากล อย่างที่คนระแวงก็แล้วกัน ส่วนชาวบ้านเราๆท่านๆคงต้องทำ“ใจร่ม”ไว้ก่อน รอดูผลต่อไปอีกสักนิดก็แล้วกัน