‘ครูหยุย-วัลลภ ตังคณานุรักษ์’ แนะพ่อ-แม่ พูดให้น้อย เปิดหูเปิดตาให้มาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/268825

‘ครูหยุย-วัลลภ ตังคณานุรักษ์’ แนะพ่อ-แม่ พูดให้น้อย เปิดหูเปิดตาให้มาก

‘ครูหยุย-วัลลภ ตังคณานุรักษ์’ แนะพ่อ-แม่ พูดให้น้อย เปิดหูเปิดตาให้มาก

วันเสาร์ ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

(ซ้าย) พิธีกรรายการ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย และ ครูหยุย-วัลลภ ตังคณานุรักษ์

ขณะที่สถานการณ์ปัญหาเรื่องเด็กและเยาวชนกำลังเผชิญความเสี่ยงมากมาย ทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ปัญหาด้านพฤติกรรมความรุนแรง ปัญหาการก่ออาชญกรรม และอื่นๆ รายการ “ผู้หญิงแนวหน้ากับคุณแหน” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางสถานี TNN2 ช่อง 784 พิธีกร “ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย” พาไปพูดคุยกับ “ครูหยุย-วัลลภ ตังคณานุรักษ์”ผู้เชี่ยวชาญปัญหาเด็กและเยาวชน สมาชิก สนอ. และประธานคณะกรรมาธิการสังคมกิจการเด็กเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ถึงสถานการณ์ของปัญหาในขณะนี้

ครูหยุย เล่าว่า “ในฐานะที่คลุกคลีกับปัญหาเหล่านี้มาโดยตลอด ถามว่าผมมองปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มาจากปัจจัยอะไร ความจริงมันก็เลื่อนมาเป็นลำดับนะ เราพ้นในวิกฤติตัวอย่างมาหลายเรื่อง เช่น ปัญหาพื้นฐาน เด็กไม่ได้รับวัคซีน เด็กตายก่อนเกิด หมดแล้ว แต่สิ่งที่หนักใจก็คือ พฤติกรรมความรุนแรง ยกพวกตีกัน ปัญหาเซ็กซ์ก็คือท้อง ก็เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่

แล้วสาเหตุมันมาจากอะไร มันคงมาจากหลายปัจจัย แต่เท่าที่เราวิเคราะห์กันจริงๆ มันมาจาก 3 ตัวด้วยกัน ตัวที่ 1สภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไปเร็วมาก โลกของวัยรุ่นสมัยนี้เป็นโลกคนละใบกับเราที่เราเคยเข้าใจ จะเรียนรู้เร็วมาก ทีนี้เราเรียนตามเขาไม่ทัน อันนี้ที่เปลี่ยนแปลงเลย

อันที่ 2 ที่เป็นปัญหามากก็คือเขาเรียกสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวแปรทำให้ขาดสติได้ง่าย สามารถจะดื่มสุราได้ง่ายจะเสพยาได้ง่าย จะไปนอนที่ไหนก็ได้ง่ายหมดอันนี้เป็นตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ก็เป็นตัวที่บอกว่าพอโลกมันเปลี่ยนเร็ว สิ่งแวดล้อมมันแย่ลง คนที่เป็นผู้ใหญ่เองก็ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องจิตวิทยาเด็ก อันนี้เป็น 3 ตัวแปรใหญ่มันก็เลยไปไกลมาก

ผู้ใหญ่ขาดความเข้าใจเรื่องจิตวิทยาเด็ก เรื่องนี้ส่วนใหญ่มักจะโทษเด็ก เด็กเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีผู้ใหญ่ลืมดูตัวเอง พ่อ-แม่ที่ดูอยู่บางครั้งหงุดหงิดกับลูกแต่กลับไม่ได้ดูตัวเองเลย หลักพื้นฐานง่ายสุดคือว่าเราคุ้นกับการสั่งบอกตอนเขาอายุยังน้อย แต่พอเขาอายุมากขึ้นเราก็ยังบอกสั่งเหมือนเดิม

เขาจึงบอกหลักง่ายของผู้ปกครองก็คือว่า ตอนเด็กเปิดปากให้มาก จะบ่นจะสอนเอาเลย เพราะถ้ายิ่งสอนสั่งมากๆ เท่าไหร่เขาจะมีบุคลิกภาพที่มีคนคอยทะนุถนอมเขาแต่พอเขาเริ่มโตขึ้น เริ่มพูดให้น้อยๆ ลง แต่ต้องเปิดหูฟังเขามากขึ้น และเปิดตาดูพฤติกรรมเขามากขึ้นด้วย

แล้วตอนนี้ลูกแทนที่จะไปบอกคนอื่นเขาจะบอกเรา เราก็จะแก้ปัญหา หรือป้องกันปัญหา หรือส่งเสริมสิ่งที่เขาชอบ ทำให้เขาเติบโตขึ้นได้เร็วกว่าเดิม พูดง่ายๆ เข้าใจเขาให้มากขึ้น แล้วก็ส่งเสริมเขา ดูว่าเขาต้องการอะไร หรือแอบไปเล่นกีตาร์กับเพื่อน เราก็ว่าเอ๊ะทำไมลูกเราไม่เล่าไม่เรียนนะแต่พอไปดูดีๆ เอ๊ะมันกำลังเล่นกีตาร์อย่างดีนะ ก็ส่งเสริมหากีตาร์ให้ซะ พาไปเรียนกับครูที่เก่งซะ เด็กก็จะก้าวไปได้เร็ว

ที่มีคนบอกว่าพยายามเลี้ยงเขาโดยที่เข้าใจเขา มากกว่าที่จะเลี้ยงเขาอย่างที่สั่งให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการ อันนั้นความเคยชินแต่โบราณ ซึ่งเราก็สอนสั่งกันมาเป็นลำดับชั้น แต่โลกมันเปลี่ยนเร็ว พอโลกเปลี่ยนเร็ว เราคนเดียวสอนไม่ทัน เพราะว่าเขาเรียนรู้โลกข้างนอกกว้างมากอย่างงั้นพ่อ-แม่ผู้ปกครองต้องปรับตัวอย่างไรยกตัวอย่างพ่อ-แม่บางคนเก่งนะ เล่นไลน์เป็นหมด เล่นเฟซบุ๊คเป็นหมด ตามโลกทั้งหมดได้หมด แล้วส่งไลน์ดีๆ ให้ลูกอ่านด้วย ปรากฏว่าเรียนรู้ไปด้วยกัน เขามีความสุขทั้งคู่เลย

ส่วนที่ว่าปัญหาของเด็กที่อยู่ในเมืองกับเด็กที่อยู่ต่างจังหวัด หรือว่าเด็กในจังหวัดใหญ่ๆ เขาประสบปัญหา ถามว่ามันเหมือนกันไหม คือมันต้องเริ่มตั้งแต่ว่า เราต้องเข้าใจว่ายุคที่เราเป็นเด็ก เราก็มีภาษาแบบเรา ยุคนั้นพ่อ-แม่เราก็ด่าแบบนี้แหละทำไมหยาบคาย พูดกูมึง มันก็ด่ากันมาเป็นทอดๆ แบบนี้แหละ

พอรุ่นเรามีลูก ลูกเราก็เป็นแบบเราสมัยก่อน ทรงผมบางทรงผมเราสมัยก่อน เราก็ถูกต่อว่าเหมือนกัน สมัยนี้เขาก็มีทรงของเขา ถ้าเราเข้าใจว่าโลกมันเปลี่ยนได้แบบนี้ โดยเราคิดถึงเราตอนเป็นวัยรุ่น เราจะเข้าใจเรื่องนี้ เรื่องภาษา เรื่องใช้ชีวิต เรื่องกิริยามารยาท มันจะเข้าใจกันได้

แล้วอย่าลืมว่านี่มันเรื่องกาลเทศะ สังเกตพอลูกเราโตขึ้น บางวงก็พูดหยาบบางวงก็พูดสุภาพ เห็นไหมว่าเราเลือกออกว่าจะใช้กับใคร อย่างไร เหมือนเราขณะที่เราคุยกัน เราเจอกลุ่มเพื่อนเรา เราหยาบกว่าที่เราคุยกัน แต่ว่าเราหยาบในกลุ่มเราได้เพราะเราคุ้นกัน ทีนี้พอเข้าใจแบบนี้แล้วก็หมดปัญหา

บางอย่างมันอาจจะต้องเดินสายกลางเหมือนกัน บางทีผมก็บอกเด็กนะ เช่นเราเลี้ยงดูเด็ก บางทีเราคุยอยู่กับแขก มาถึงเขาตะโกนโหวกเหวก เราก็บอกลูกไม่ได้นะลูกต้องเคารพพ่อ พ่อกำลังคุยกับเพื่อนลูกต้องเคารพเรา คือบางทีเราอาจจะต้องบอกเขาเหมือนกันว่ากาลเทศะในช่วงเวลานั้นมันคืออะไร

แม้กระทั่งในลิฟต์ บางทีผมไปสอนหนังสือ ที่ครุศาสตร์ จุฬาฯ เจอนิสิตโวยวายผมก็จะทำปากจุ๊ๆ แล้วผมก็ทำหน้าเข้ม เขาก็เงียบนะ เขาก็ต้องเรียนรู้เหมือนกัน แต่ว่าจะไปด่าว่าเขาทันทีก็ไม่ได้ จะทำให้เขาเสียหน้าสัญลักษณ์บางอย่างใช้ได้ แต่ว่าอย่าไปทำให้เขาเสียหน้า แล้วก็อย่าไปดุด่าเขาต่อหน้าคนอื่น เพียงแต่บางเรื่องบอกเขาได้ค่อยๆ บอกเขาได้ แล้วผมว่ายิ่งถ้าเป็นเด็กนักศึกษาจะเข้าใจง่าย

แต่เด็กบนถนนนี่อีกแบบหนึ่งเลยเด็กบนถนนบางทีต้องยิ้ม ต้องเข้าไปทำความคุ้นเคยจนสนิทสนม แล้วค่อยบอกเขาแล้วเขาจะเรียนรู้เราได้ คืออยากจะเรียนผู้ปกครองว่า เด็กเป็นสัตว์ประเสริฐจริงๆ ที่ปรับตัวได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ เพราะเราอยู่มานานเราปรับตัวไม่ได้ และเราคุ้นกับการบ่น เราก็จะบ่น

แต่พอเด็กนี่เขาไปที่ไหน พอตกไปที่ไหนเขาก็จะงอกที่นั่น เขาจะปรับตัวได้เร็วกว่าเราเยอะ เพียงแต่ว่าหาโอกาสส่งเสริมการปรับตัวเขา เท่านั้นแหละ บางคนถึงขั้นว่าเอ๊ะทำไมลูกเราสมาธิสั้นนะ แต่พอปรับตัวไปเล่นดนตรีไทยบางอย่าง ทำให้สมาธิเขาดีมาก

หรือบางทีซนระเบิดเลย ปรับตัวไปเล่นยิมนาสติก ก็กลายเป็นคนละคนเลย การที่เขาปรับตัวไปสู่สิ่งใหม่ที่เอื้อกับเขา โดยเราเป็นคนสังเกตและส่งเสริมภายใต้ความพยายาม และสุดท้ายเขาชอบจริงๆ มันไปได้ไกลมาก นี่หลักเดียวกันเลย

มีบางคนบอกว่าก็ลูกเป็นของเรา เราก็ต้องบอกเขา สั่งเขา แล้วเขาก็ต้องเชื่อเรา ถามว่าวิธีสั่งเขาตรงนี้จะเป็นปัญหาไหมเพราะว่าเขาก็มีโลกของเขา มันคือตอนเด็ก สังเกตว่าตอนเด็กเราอยู่กับลูกเราแต่เด็ก เช่นเราเล่นกับเขา เราเล่านิทานให้เขาฟัง เราใส่อะไรเข้าไป เขาบอกมันจะหล่อหลอมบุคลิกภาพ

สังเกตว่าเด็กถ้าโตไปเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่เชื่อฟังพ่อ-แม่ แสดงว่าตอนเด็กเราไม่ได้สอน เราไม่ได้บอกเขาว่าอะไรถูกอะไรผิดเราตามใจอย่างเดียว พอเราตามใจอย่างเดียวคุณต้องเหนื่อยแน่ตอนเขาโต แต่ถ้าตอนเด็กเราใกล้ชิด ค่อยๆ พูด ค่อยๆ สอน นิทานเยอะแยะไปที่จะไปบอกเขา แล้วเขาเรียนรู้ได้ พอเรียนรู้ได้มันจะอยู่ในใจ เช่น สมมุติเราเป็นคนขี้เกรงใจ ลูกก็จะเกรงใจแบบเรา เราสุภาพลูกก็จะสุภาพ เขาจึงบอกเห็นไหมคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงเทศกาลต้องกลับบ้าน แล้วจะไปไหว้พ่อ-แม่ ลูกก็จะเรียนรู้ว่าทำไมเราต้องไปไหว้พ่อ-แม่เรา เพราะกตัญญูไง เขาจะกตัญญูกับเรา ถ้าเราไม่ทำเขาก็จะไม่กตัญญูต่อเรา หลักเดียวกัน มันขึ้นที่แบบของเรา ถ้าแบบเขาอยู่กับเราตั้งแต่เด็กได้ดีเท่าไหร่ ตอนโตมาเราจะปากเปื่อยปากแฉะน้อยลง และเราจะเข้าใจมากขึ้น

เรื่องที่มีคนบ่นว่างานก็ต้องทำ ออกจากบ้านแต่เช้า กลับเข้าบ้านก็ดึก อันนี้ถามว่ามันเป็นข้ออ้างที่จะใช้มาอ้างเรื่องที่จะไม่ดูแลลูกได้ไหม ก็อ้างได้ แต่ว่ามันได้ครั้งเดียวเพราะถ้าลูกหลุดไปจากอ้อมแขนแล้ว เงินที่เราหามาได้เท่าไหร่ ไม่พอแก้ปัญหา เช่นบางคนไปฆ่าคนตาย คุณเอาเงินวิ่งเต้น 3-4 ล้านบาท ต้องเป็นหนี้เป็นสินคนอื่นอีก เพราะเงินที่เราเก็บ ก็ไม่มี หรือลูกติดยา ลูกไปทำคนอื่นท้อง หรือลูกเราท้อง เงินที่เราหามาได้ ก็ไม่คุ้ม ฉะนั้นถึงบอกว่าถ้าเราเลือกให้มันดี เราจะเข้าใจเลยว่า การลงทุนเพื่อลูกในวันนี้จะสบายเพื่อเราในวันหน้า

มีคนบอกว่าถ้ายังไม่พร้อมที่จะมีลูก ก็อย่าเพิ่งมีลูก แต่มีคนบอกว่าถ้ารอพร้อมก็คือแก่ หรือว่าต้องรอให้มีฐานะดีกว่านี้มันก็จะมีลูกยาก มันก็เป็นข้ออ้าง บางคนฐานะไม่ดีหรอก แต่เขาก็เลี้ยงลูกได้ดี เขาก็แบ่งเวลาได้ดี เพราะฉะนั้นเรื่องข้ออ้างในเรื่องของความพร้อมหรือไม่พร้อม มันเป็นข้ออ้างที่ไม่ใช่สาระสำคัญ

ตอนเราคุยกันเรื่องถ้าไม่พร้อมอย่าแต่ง ถ้าแต่งแล้วไม่พร้อมอย่ามีลูก ความพร้อมนี่ไม่ใช่ความพร้อมทางเศรษฐกิจ เป็นความพร้อมว่าเราอยู่ด้วยกันจริงมั้ย แล้วเราพร้อมคือ เราพร้อมที่จะมีความรู้ดูแลเขาไหม เราพร้อมจะมีที่ซุกหัวนอนหรือเปล่า คือถ้ายังไม่มีเลยสักอย่างเลยนี่ มันไปไม่ได้

อย่างน้อยมีเงินไปเช่าบ้านก็ยังโอเคมีงานทำแล้วนะ เขาเรียกว่าพร้อมพอสมควรแล้วเราไม่ทะเลาะกันแล้วนะ เราพร้อมทางอารมณ์ แล้วเราพร้อมจะมีเวลาบ้างในการดูแลลูกนะ อย่างนี้ถึงค่อยมีลูก ฉะนั้นจะเห็นว่าคนจำนวนมากที่ฐานะไม่ดี แต่เขาพร้อมจะช่วยกันสองคนทำมาหากิน พร้อมจะช่วยดูแลลูกพร้อมกัน และเขาพร้อมที่จะศึกษาว่าถ้าเราโกรธ เราอย่าพูดกันต่อหน้าลูกนะนี่คือความพร้อม นี่ต่างหากที่คือเรื่องใหญ่”

Leave a comment